วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Save da Last Pieces :))

30 September 2010


หลังจากปิดเทอมมาได้ 2 วัน เหงา หงอ ย .. อยู่บ้าน :'( วันนี้เพื่อนชวนออกไปสยาม ตื่นเต้นๆ >v< (ทำเหมือนไม่เคยไป 55+) อยากไปเดินดู Central World ด้วย ก็เลยรีบบบ ออกจากบ้านเลย อิอิ ^^ ได้ไปทานข้าว พูดคุย เดินเล่น เย็นๆใจ :D พอเย็นๆ ก็รีบบบ กลับบ้าน เนื่องจากฝนตั้งเค้ามามืดครึ้ม ม เชียว ดีนะ .. กลับเข้าบ้านมาทัน พอเก็บข้าวเก็บของเสร็จ ฝนก็ตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า มากมายทีเดียวเชียว ฮ่าๆๆๆ >o<"



24 September .. วันสุดท้ายของการเรียนวิชา Innovative Thinking ..


ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า วันนี้เป็นวันเรียนวิชานี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว T^T ต้องบอกเลยว่า เป็นวิชานอกคณะวิชาแรก ที่เรียนแล้วรู้สึกสนุก มีความสุข และได้รู้จักกับเพื่อนต่างคณะเป็นจำนวนมาก ได้เรียนสิ่งที่นอกเหนือจากในตำรา ได้เรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น อยากเรียนวิชาที่อาจารย์ธงชัยเปิดสอนอีกจัง >V<

วันนี้ต้องทำงาน Group Project คือ ผลิตสมุดที่มีความสามารถพิเศษถึง 5 อย่าง ภายใน 1 เล่ม

อุปกรณ์ที่กลุ่มของจิ๊บใช้ คือ

1.เกมส์โกะ และ เกมส์บันไดงู
2.กระดุม (ตัวหมาก)
3.กระเป๋าใส่เหรียญ (แต่เอาไว้เก็บตัวหมาก คือ กระดุม)
4.ยางยืดไว้ทำที่เสียบปากกา
5.post it
6.กระจก

อาจารย์ให้เวลาแต่ละกลุ่มทำตั้งแต่ 13.00 - 15.00 น.
จากนั้นก็ให้แต่ละคนนำงานเดี่ยวของตัวเองมานำเสนอ แล้วต่อด้วยการนำเสนองานกลุ่ม
ก็ .. ตื่นเต้นทั้งสองงานเลย ต้องออกไป present แถมแอร์ในห้องก็หนาววว ว มากก >w< ยิ่งสั่นกันไปใหญ่เลย

นอกจากนี้ .. อาจารย์ยังให้นิสิตแต่ละคนนำขนมและหนังสือที่ไม่ได้อ่านแล้วมาแลกกับเพื่อนๆ ในห้อง (แก้หิวตอนทำงาน ฮ่าๆๆ ^^") และอาจารย์ก็ยังเลี้ยงน้ำผลไม้ทุกคนอีกด้วย ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :DD

เมื่อจบการ present งานทั้งหมด วันนี้ได้มีวิทยากรรับเชิญจากบริษัทที่ผลิตสมุด ZEQUENZ สมุดที่สามารถเปิดได้ถึง 360 องศา ซึ่งท่านวิทยากรได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบสมุด ทั้งการคำนึงถึงการใช้งาน รูปแบบ สี ขนาด รวมถึงได้ตอบคำถามและข้อสงสัยของนิสิต

วันนี้เราเลิกเรียนประมาณ 17.45 น. ถึงจะเป็นเวลาที่ยาวนาน (แถมถูกแช่แข็งในห้องเรียนอีกต่างหาก ><" เย้ยย ย) แต่เป็นช่วงเวลาที่จิ๊บมีความสุขมาก และสนุกสนานกับการเรียนวิชานี้ที่สุด ขอบคุณอาจารย์มากๆนะคะ ที่ได้มอบสิ่งๆดีให้กับนิสิตทุกคน ทุกสิ่งที่ได้เรียนจากวิชานี้ จิ๊บจะเอาไปประยุกช์ใช้ในการเรียนและการทำงานของจิ๊บค่ะ ;))

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

Request for Comment

19 September 2010



แบบสอบถามความคิดเห็นวิชา Innovative Thinking (Request for Comment)



1. ท่านชอบเนื้อหาหรือกิจกรรมใดมากที่สุด โปรดให้เหตุผล

ชอบกิจกรรมการโยนจักกลิ้ง เพราะ เป็นสิ่งที่คิดมาโดยตลอดว่าคนที่เล่นเป็นเขามหัศจรรย์มากๆ จนได้มีโอกาสมาฝึกโยนเล่นกับอาจารย์ ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันหนึ่งจะสามารถโยนได้ แต่ยังต้องต่อยอดฝึกไปอีกเรื่อยๆ เพื่อให้ชำนาญกว่านี้


2. ท่านคิดว่างานที่มอบหมายในวิชานี้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับวิชาอื่นโดยเฉลี่ย โปรดให้เหตุผล

คิดว่าเท่ากัน เพียงแต่เป็นคนละแบบ คือลักษณะงานแตกต่างกัน วิชานี้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการคิดประดิษฐ์ Vision board, งานเดี่ยว งานกลุ่ม และเขียน blog ซึ่งแต่ละงานต้องใช้เวลาในการคิด, หาข้อมูลหรืออุปกรณ์ และลงมือทำ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิชาอื่นๆ แล้ว ใช้เวลาในการทำนานไม่แตกต่างกันเลย


3. จงแนะนำภาพยนตร์ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มาหนึ่งเรื่อง พร้อมเหตุผลประกอบ

ภาพยนตร์เรื่อง “2012” เพราะ แสดงให้เห็นถึงจินตนาการของผู้สร้างได้เป็นอย่างดี ว่าเขาคิดถึงว่าเมื่อโลกกำลังจะดับสูญ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งหลายคนอาจคิดไม่เหมือนกับเขา แต่ก็สามารถนำไอเดียที่ได้จากเรื่องนี้มาลองปรับและนำมาประยุกต์เข้ากับความคิดของตน และก็อาจนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดับสูญของโลกในแบบฉบับของตัวเองได้ นอกจากนี้ ยังมีฉากที่พระรินน้ำชาจนล้นออกมานอกถ้วย แสดงให้เห็นถึงว่า ถ้าเราไม่เปิดใจให้กว้างเพื่อรับสิ่งใหม่ๆ เราก็ทำตัวเหมือนน้ำที่ล้นถ้วย ความคิดใหม่ๆที่สร้างสรรค์ก็จะไม่บังเกิด เพราะ เรายังยึดติดอยู่กับความคิด และความเชื่อเดิมๆของเรา


4. จงเสนอการบ้านวิชานี้มาอย่างน้อยหนึ่งข้อ (ที่ทุกคณะสามารถทำได้)

- หาภาพยนตร์ที่ตนเองชื่นชอบมา 1 เรื่อง แล้ววิเคราะห์ว่าเรื่องนั้นสามารถแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร
- ส่วนตัวชอบงาน Individual Project เพราะ เป็นกิจกรรมที่สามารถแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ตนเองชอบได้ แล้วจึงประดิษฐ์มันออกมาโดยบวกเข้ากับความคิดที่สร้างสรรค์เพื่อทำผลงานนั้นให้ออกมาดีที่สุด (ดูได้ว่าเขาชอบอะไร แสดงให้เห็นถึงตัวตน และแนวทางที่เขาชอบได้)
- เพิ่มการเล่น Rubic ด้วย เพราะพยายามให้เพื่อนสอนเทคนิคหลายครั้งแล้ว ก็รู้สึกยังไม่เข้าใจ และก็ยังเล่นไม่ประสบความสำเร็จอยู่เช่นเดิม


5. ท่านคิดว่าจำนวนนิสิตในชั้นเรียนเป็นอย่างไร โปรดให้เหตุผล

คิดว่ากำลังดี ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เพราะ วิชานี้มีกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้าคนมีจำนวนมากเกินไป การปฏิบัติงานจะยุ่งยากมากขึ้น บางคนอาจไม่ได้มีส่วนร่วม และอาจเกิดการเกี่ยงงาน และถ้ามีจำนวนคนน้อยกว่านี้ กิจกรรมก็อาจไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้


6. ท่านได้ร่วมกิจกรรมพิเศษนอกชั้นเรียนใดในเทอมนี้ที่ท่านคิดว่าภูมิใจที่ได้เข้าร่วม และท่านได้รับบทเรียนหรือประสบการณ์อะไรบ้าง

กิจกรรมแรก คือ ไปช่วยอาจารย์คุมงานแข่งความจำ ซึ่งยังไม่เคยไปเป็นกรรมการคุมสอบอะไรแบบนี้เลย ก็รู้สึกตื่นเต้น และดีใจที่อาจารย์ให้ความไว้วางใจให้ไปช่วยงานครั้งนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยมาก เพราะ ต้องมาก่อนงานเริ่ม และก็ต้องกลับช้ากว่าที่งานได้เลิกลง งานครั้งนี้สอนให้เราใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง ทั้งการรับมือกับเด็กที่มาเข้าร่วมแข่งขัน และการตรวจข้อสอบจำนวนมากในแต่ละประเภทการแข่งขัน ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เคยได้เรียนรู้มาก่อน

กิจกรรมที่สอง คือ ไปดูงานนิทรรศการ “ผี” ที่ TCDC ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม งานครั้งนี้ได้จัดแสดงสิ่งสร้างสรรค์ต่างๆ ที่เกิดจากความเชื่อ ความคิด และการลงมือทำของมนุษย์เรา เป็นงานที่น่าสนใจมากๆ ไม่เคยคิดว่าแค่ความกลัวต่างๆ จะรังสรรค์สิ่งที่สร้างสรรค์ต่างๆ ได้มากมายถึงเพียงนี้ หากมีการจัดงานนิทรรศการอื่นๆอีก คิดว่าต้องหาเวลาไปชมอีกอย่างแน่นอน


7. ถ้าท่านเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ ท่านจะตั้งคำถามอะไรใน RFC และจะตอบอย่างไร

คำถาม : ชอบอะไรในตัวอาจารย์ธงชัยบ้าง
คำตอบ : สอนสิ่งที่ใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่อิงตำรา, ชายหนุ่มมหัศจรรย์กับการโยนลูกจักกลิ้ง!!

ไอเดียสร้างสรรค์ .. ที่น้อยคนจะกล้าใช้ O.O!?

19 September 2010



วันนี้เปิดเว็บไซค์ www.dek-d.com ดูกระทู้ต่างๆที่น่าสนใจ ก็ได้ไปพบกับ .. กระทู้น่ากลัว OoO!! (สำหรับจิ๊บ 55+) ที่เห็นภาพแล้ว .. ไม่กล้าใช้จริงๆ ^^" แต่ก็ยอมรับว่าไอเดียของเขาดีจริงๆ ดูเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อโชว์ไอเดียเจ๋งๆเท่านั้น ชีวิตจริงคงไม่ค่อยมีใครกล้าใช้ (ต้องกล้ามากๆ ฮ่าๆๆ) ลองไปดูกันนะคะ




แฟชั่นสยอง!! ขนตาปลอม จากขาแมลงวัน

สำหรับสาวๆ ที่ชอบติดขนตาปลอม เห็นขนตาปลอมข้างล่างนี้แล้ว รู้สึกยังไง ???



นี่เป็นไอเดียของ ศิลปิน ชื่อ Jessica Harrison ที่ต้องบอกว่า "คิดไปได้ยังไง เนี่ย?" ก็ เธอดันเอาขาของแมลงวัน ย้ำค่ะ ขาของแมลงวัน จริงๆ มาทำเป็นขนตาปลอม แล้วก็ถ่ายเป็น วิดีโอ มาโพสต์ให้คนดู ปรากฎว่า คนดูๆแล้วบอกว่าน่ากลัวเห็นแล้วกินข้าวไม่ลง และยังเหมือนเอามาสคาร่าเก่าๆที่หมดอายุแล้วมาปัดขนตามากกว่า


เพื่อนๆ ดูแล้ว คิดว่ายังไงบ้าง แต่โชคดีจริงๆะที่ Trend นี้ไม่มีใครเอาด้วย เพราะถ้ามีใครทำตามคุณ Jessica ก็จะตาบวมเหมือนเธอหลังจากติดขนตาปลอมแบบนี้ไปได้สักพัก ขอสวยแบบพอดีๆ ไม่ต้องล้ำขนาดนี้ดีกว่า 555







ต่อไป .. เป็น ห้องน้ำสาธารณะที่สวิตเซอร์แลนด์



นี่คือาภาพจากด้านนอก มาดูด้านในกันเถอะ ..



มันจะเป็นกระจกสะท้อนเงาอย่างหนึ่ง ข้างนอกมองข้างในไม่เห็น แต่ข้างในจะมองเห็นข้างนอก "ชั ด แ จ๋ ว !!"



มีใครกล้าใช้สิ่งเหล่านี้บ้าง .. ยกมือขึ้นนนนน !!! - -*

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

DIY : Floral Bottle

18 September 2010

เนื่องจากวิชา Innovative Thinking อาจารย์ให้ทำ Individual Project สร้างผลงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง เป็นรูปธรรม จับต้องได้ (โดยยกเว้นอาหาร และซอฟต์แวร์) ตอนแรกนั่งคิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะทำอะไรดี .. แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบทำงานประดิษฐ์ประดอย จึงมีของกระจุกกระจิกอยู่ในบ้านมากมาย เช่น พวกโบว์ กระดุมน่ารักๆ ผ้า เป็นต้น จึงพยายามลองเดินสำรวจของใช้ในบ้านว่ามีอะไรที่ยังสามารถนำมาตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของสิ่งนั้นได้อีก ซึ่งก็มีจริงๆด้วยค่ะ ^__^ ไปเจอชุดขวดโหลเปล่าหลายๆขวด วางอยู่บนชั้นวางของเฉยๆให้ฝุ่นจับเล่น 55+ เลยตัดสินใจเอาลงมาล้างขัดสีฉวีวัน เป็นขวดโหลใสๆ .. และจึงเริ่ม!เอามาตกแต่งให้สวยงามขึ้น และสามารถใช้เป็นของขวัญได้ด้วย >v<






เพื่อนๆทราบไหมคะว่าขวดโหลเปล่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หากเราเอามาตกแต่งให้สวยงาม ขวดโหลเปล่าๆ ที่ไร้สีสันเหล่านั้นก็จะกลายเป็นขวดโหลน่ารักๆ ที่ไม่ซ้ำใคร แถมยังมอบเป็นของขวัญหรือจะเก็บไว้ใช้เองก็ได้ค่ะ ซึ่งงาน Individual Project นี้ ต้องนำขวดโหลไปให้เพื่อนในชั้นเรียนอยู่แล้ว ถือเป็นของขวัญจากจิ๊บเลยก็แล้วกันค่ะ :D ส่วนวิธีการทำนั้นก็ง่ายแสนง่าย .. ใช้แค่ไอเดียสร้างสรรค์ของตัวเองบวกกับอุปกรณ์ตกแต่ง ถ้าอยากรู้ว่าง่ายอย่างไร เรามาดูวิธีทำกันเลยดีกว่าค่ะ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม



1. ขวดโหลเปล่า
2. เศษผ้า
3. โบว์ลูกไม้ตกแต่ง
4. ของประดับตกแต่ง เช่น กระดุม ลูกปัด ดอกไม้ปลอม (ในที่นี้เลือกใช้ดอกไม้ปลอมค่ะ)
5. กาวยาง
6. กรรไกร

วิธีการทำ

1. ตัดเศษผ้าเป็นแถบ กว้างยาวตามขนาดของขวดโหล



2. ทากาวติดแถบผ้าที่ตัดไว้พันรอบขวด อย่าลืมทากาวอีกรอบตอนปลายประกบปลาย




3. ติดแถบโบว์ลูกไม้ตกแต่งรอบปากขวดด้วยกาวยางอีกที




4. นำดอกไม้ปลอมมาทากาวติดลงบนฝา ติดตกแต่งได้ตามใจชอบ





เสร็จแล้วค่าาา !!!! รอกาวแห้งสักพักจะได้ติดแน่นขึ้น เพื่อนๆอาจจะออกแบบลวดลายต่างๆ ไม่ก็ตกแต่งด้วยวัสดุหรือผ้าลายอื่นๆ ก็ได้นะคะ แล้วแต่ไอเดียและความชอบของแต่ละคนเลยค่ะ ;D





กิจกรรมนี้ จิ๊บชอบมากกก ก >v< ชอบประดิษฐ์ของกระจุกกระจิก รู้สึกได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ตอนนั่งทำรู้สึกมีความสุขมากๆ แม้จะใช้เวลาทำนานพอสมควรแถมเหน็บกินขาอีกต่างหาก 55+ แต่สนุกมากเลยค่ะ หวังว่า .. เพื่อนที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้ไปจะชอบนะคะ :DD

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

Vision Board

16 September 2010


พรุ่งนี้วิชา Innovative Thinking จะมีการให้นำเสนอผลงาน Vision Board ของนิสิตแต่ละคน .. ตื่นเต้นๆ ^^" ส่วนใหญ่เป็นนิสิตต่างคณะ ต้องออกไปพูดก็รู้สึกเขิลเหมือนกัน >//< ไหนๆก็ได้มีโอกาสทำแล้ว เลยเอามาให้ทุกคนได้ดูกันดีกว่า ;D

Vision Board (กระดานวิสัยทัศน์) คือ แผ่นกระดาษหรือกระดานที่ติดป้ายสิ่งที่เราต้องการในชีวิตในแง่มุมต่างๆ เช่น อาชีพ สุขภาพ คู่ครอง ครอบครัว ความฝัน เป็นต้น พร้อมทั้งข้อความประกอบภาพ โดยอาจารย์กำหนดขนาดที่เล็กที่สุด เท่ากับ A4 จำนวน 2 แผ่นต่อกัน แต่ไม่จำกัดขนาดที่ใหญ่ที่สุด ตอนนั่งทำรู้สึกเหมือนได้ทำงานศิลปะตอนสมัยอยู่โรงเรียนอีกครั้ง ^o^ .. ผลงานก็เลยออกมาเป็นเช่นนี้ . .





อธิบายรูปนี้คร่าวๆ ก็คือ ..
- อยากทำงานที่การบินไทย ซึ่ง summer นี้ก็จะลองไปฝึกงานที่นั่นดู รู้สึกชอบระบบงานที่นี่ เป็นบริษัทที่ใหญ่และค่อนข้างมั่นคง และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ ชอบการเดินทางท่องเที่ยวมาตั้งนานแล้ว ถ้าได้ทำงานที่นี่ อาจได้นั่งเครื่องบินฟรีกับเขาบ้าง หรือมีส่วนลดมากกว่าคนอื่นก็ได้ 55+

- ชอบการช็อปปิ้ง เป็นนิสัยของผู้หญิงทุกคนอยู่แล้ว รับประกัน (ถ้าถูกรางวัลที่ 1 ก็คงไม่ลืมที่จะแบ่งเงินจำนวนหนึ่งมาช็อปปิ้งแน่นอน ^__^) ส่วนตัวเป็นคนชอบน้ำหอม รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ มากกกกกกกกกก !!! ส่วนบาร์บี้เป็นตุ๊กตาที่ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าทำงานมีเงินเดือนเมื่อไหร่ อยากจะเริ่มซื้อเก็บอย่างน้อยคอลเลคชั่นละ 1 ตัว

- ตอนนี้โชคดีได้มีรถเป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งก็คือ Mazda 2 .. เล็กๆ น่ารักๆ ^^" อิอิ แต่ต่อไปจะพยายามทำงาน เก็บเงิน แล้วซื้อ BMW Z4 ด้วยตัวเองให้ได้ !!

- เป็นคนชอบทะเลมาก สุดท้ายของชีวิตอยากมีบ้านพักที่อยู่ติดกับทะเล แล้วใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่นั่น .. แต่ก่อนถึงเวลานั้น ก็อยากไปเที่ยวทะเลที่สวยๆของโลกให้ได้มากที่สุดก่อนด้วย 55+

- ประเทศที่เคยเดินทางไปแล้วชอบที่สุด คือ ญี่ปุ่น แล้วก็ยังอยากจะไปอีก ส่วนประเทศที่ .. ถ้าไม่ได้มีบ้านที่อยู่ติดทะเล ก็อยากย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแค่มอง ถึงได้รู้สึกชอบและประทับใจประเทศนี้มากถึงขนาดนี้ แม้จะยังไม่เคยไปก็ตาม แต่สักครั้งในชีวิตจะพยายามหาทางลองไปดู :))

- จริงๆ อยากเปิดทั้งร้านจัดดอกไม้ และร้านเบเกอร์รี่ แต่เนื่องจากเป็นคนที่แพ้ลิลลี่ ก็คิดว่า.. ถ้าเปิดร้านจัดดอกไม้แล้วไม่มีดอกลิลลี่มันก็ดูไม่ค่อยครบสักเท่าไหร่ ก็เลยเหลือแค่ร้านเบเกอร์รี่ที่อยากจะเปิด แล้วก็อยากเปิดให้คุณแม่ด้วย เพราะคุณแม่ชอบ

- อยากจะรักษาหุ่นดีให้ดูดีไปแบบนี้ตลอด แต่ก็ขอเพิ่มสุขภาพที่แข็งแรงไปด้วย อยากออกกำลังกายให้มากขึ้นและเป็นประจำสม่ำเสมอมากกว่านี้ ส่วนใหญ่ถ้าได้ทำเต็มที่จริงๆจะเป็นช่วงปิดเทอมเท่านั้น

- รักสุนัขมากๆ อยากเลี้ยงบีเกิลค่ะ

- สุดท้าย .. เรื่องคู่ครอง ก็เชื่อว่า ทุกคนคงอยากได้คนที่สมบูรณ์แบบที่สุดและเหมาะสมกับเรา ส่วนนิสัยก็ขอแค่เป็นคนดี มีความเป็นผู้ใหญ่ รักและดูแลเรากับครอบครัวได้ ก็มีความสุขแล้วค่ะ :DD

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ลมใต้ปีก

15 September 2010

จบค่ะชีวิต .. -*- วันนี้สอบไปแล้ว 1 วิชา คือ Child Personality บุคลิกภาพเด็ก ก็ .. พอทำได้ค่ะ จะเนื่องจากเป็นข้อสอบเขียนหมด! (และยากมากกก) ก็ไม่รู้ว่าที่เขียนไปนี่ .. จะถูกใจอาจารย์หรือเปล่า T^T พอตกเย็นกลับมาบ้านก็ยังต้องมานั่งปั่นงาน .. จนถึงเพลานี้ก็ยังไม่หมด Y__Y



10 September 2010 .. วันที่สิบของการเรียนวิชา Innovative Thinking ..

วันนี้มีวิทยากรพิเศษมาบรรยายถึง 3 ท่าน มีเรื่องหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สึกประทับใจมากๆ จนอยากเอามาเล่าให้ทุกคนฟัง >v<


แรงหนุน .. จากลมใต้ปีก ก ข้อคิดในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

1. หยุดคำพิพากษา : เราไม่ใช่ผู้ลิขิตอะไรทั้งสิ้น ทำตัวให้เป็นกลาง อย่าด่วนตัดสินอะไรใคร

2. พึ่งพาตนเอง :
- หาตัวช่วย แต่ไม่หาคนช่วย คือ ใช้การหาข้อมูล หรือคำอธิบายสิ่งที่เราสงสัย หรือ ทำไม่ได้ จากแหล่งใดก็ได้ มาเป็นตัวช่วยเราก่อนที่คิดจะพึ่งพิงคนอื่น
- คิดนอกกรอบ แต่อย่าออกนอกกรอบ คือ สร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆจากสิ่งที่เรามีอยู่เป็นพื้นฐาน และพยายามใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ
- ฟังทุกความคิดเห็น แต่ตรองก่อนคิดและทำ
- อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา ความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า

3. เก็บเกี่ยวรอบด้านของชีวิต :
- ฟังทุกเรื่องที่ได้ยิน และไม่เข้าข้างฝ่ายใด
- อย่าร่ำรวยจนเกินไป อย่ายากจนจนเกินไป อย่าอยู่สูงจนเกินไป และอย่าอยู่ต่ำจนเกินไป คือ ใช้ชีวิตอยู่ตรงกลาง สมดุลและพอดี เรียนรู้ด้านสุดโต่งของคำว่าน้อยไป และมากไป จะได้หาจุดกึ่งกลางเจอ

4. สร้างสมบ่มเพาะ :
- ใจสู่ใจ อย่าเพียงปากสู่หู คือ พยายามหาเหตุผลจากสิ่งที่ได้รับรู้มา แล้วพิจารณา
- อย่ารอคำชม ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด
- อย่าเบื่อการตำหนิ เพราะ ถ้าสิ่งที่โดนตำหนิมันเป็นความจริง เราก็ต้องปรับปรุง ถ้าไม่เป็นความจริง เราก็ต้องชี้แจง
- วินัย คือ การทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ใช่หรือไม่? เราต้องรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และได้ทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ จึงจะตอบโจทย์ข้อนี้ได้



ตอนที่ได้ฟังวิทยากรท่านนี้พูด รู้สึกขนลุกกับคำว่า "วินัย คือ การทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ใช่หรือไม่? ถ้าตอบว่าไม่ใช่ หรือตอบว่าชอบการมีระเบียบวินัย แล้วทำไมคนเราถึงชอบทำผิด?" นั่นสิคะ .. ก็ยังเป็นสิ่งที่เราเองก็ยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ ส่วนตัวจิ๊บเองก็ชอบการมีระเบียบวินัย แต่บางเรื่องเราก็ทำผิดโดยที่ไม่รู้ตัว หรือ ทั้งๆที่รู้ แต่ก็ยังทำ -*- พอเรียนจบชั่วโมงนี้ รู้สึกว่าจะต้องนำข้อคิดเหล่านี้มาปรับใช้กับตัวเองเสียใหม่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังทำไปโดยไม่มีเหตุผล หรือใช้อารมณ์ หรือไม่มีความยุติธรรมกับบางสิ่งอยู่ ยังต้องเรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบทั้งความคิด และคุณธรรม จริยธรรมอีกเยอะเลย :D

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ไอเดียเก๋ๆ .. คลายเครียด :)

12 September 2010

ขณะนี้ยังนั่งปั่นงานโน้น งานนี้อยู่เลย Y__Y ง่วงนอนมากๆเลยค่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานที่คณะต่ออีก เครียด ด .. ค่ะเครียด -*-

เซ็งๆแบบนี้ ก็เลยลองsearchหาอะไรที่น่าสนใจดู เผื่อจะเอามาอัพให้ทุกคนดูได้ ก็เลยเจอกับเว็บไซต์หนึ่ง น่าสนใจดีค่ะ เลยเอามาแปะไว้ให้ดูกัน ^^"





กระเป๋าคีย์บอร์ด .. น่าเอาไว้จ่ายตลาดเนอะ 55+ ^o^



ถ้ามองจากด้านบนคงรู้สึกเสียวสันหลังน่าดู ><"



สวย+ใหญ่ดีจัง ^__^



เดินไปไหนก็ร่มรื่น น ..



รับรอง .. ปลอดภัยแน่นอน 55+



ที่จอดรถส่วนตัว



ฉันคือต้มน้ำ(มัน)น้อยอ้วน น ม้อต้อ อ >v<



เก้าอี้สำหรับเราสองคน :))



อยากลองไปทานข้าวในที่แบบนี้บ้างจัง คงรู้สึกสดดชื่นน!!!




ได้ดูแล้วค่อยรู้สึกมีพลัง สดชื่นขึ้นมาหน่อย ฮ่าๆๆๆ ^^" ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ http://www.zonezeed.com/ForumId-81-ViewForum.aspx

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

TCDC @ Emporium

8 September 2010

วันนี้เรียนแค่ครึ่งวันเช้า มีรายงานกลุ่ม ตกบ่ายจึงมีเวลาว่าง ได้เวลา .. ล้างรถซะที ^^" หลังจากที่ไม่ได้ล้างมาเป็นอาทิตย์ๆ เน่ า มากกก ><"



1 September 2010

หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคมไปเอ็มโพเรียมมา เพื่อไปดูนิทรรศการ "ผี" ที่ TCDC แต่ทว่า .. เขาปิดวันจันทร์ 55555 ก็เลยนัดกับเพิื่อนเพื่อไปใหม่อีกรอบ

TCDC อยู่บริเวณชั้น 6 ตรงข้ามโรงภาพยนตร์ของห้างสรพพสินค้าเอ็มโพเรียม พอไปถึงหน้างาน ..ก็ .. น่ากลัวอ่ะ 55+ ^^" เกิดอาการป๊อดขึ้นมากะทันหัน ปกติไม่ใช่คนกลัวผีเลย ขนาด SAW ยังดูมาทุกภาคแล้วเลย แต่ว่า .. ยังไงๆ ภาพสยองขวัญ กับ ผีตัวเป็นๆ .. มั น แตกต่างกันนะ Y^Y




ภาพหน้างานก็ขนลุกแล้ว Y^Y

พอเดินเข้าไป ก็เป็นทางแคบๆ มืดๆ .. โอ้ยย ย ไม่ไหวแล้วจ้า OoO!! เริ่มร้องโวยวายงอแงใส่เพื่อนอยากออก พี่ที่ยืนด้านหน้าคงได้ยินเสียงเลยเดินเข้ามาหา "น้องคะ ไม่ต้องกลัวนะคะ ไม่มีอะไรโผล่ออกมาหลอกน้องแน่นอน แต่เดี๋ยวห้องต่อไป จะมืด แต่ไฟจะติด เมื่อมีเสียงดังๆ นะคะ ^^") แล้วพี่เขาก็จากไป .. TT^TT นั่นไง งานเข้าแล้ว งั้นก็จัดไป . .ฮาโหลลลลลลลลลลลล อยู่ใครอยู่มั้ยยยยยยยยยย อยากได้เสียงดังใช่มั้ยยยยยยยยยยยย ดังพอรึยังงงงงงงงงงงงงงง .. พยายามโวยวายสุดฤทธิ์ 555+ แต่ว่า .. พอไฟได้ที่ปุ๊บบ .. เหลือบไปมองที่พื้น พระเจ้า!!! รอยเลือด(ปลอม .. รึป่าว? O_o) เป็นทางเลย เกาะกันแน่นเลยก๊าบบงานนี้ Y^Y แล้วก็โกยกันแน๊บบบ บวกกับร้องเสียงดังโวยวาย เพราะ กลัวไฟดับ ฮ่าๆๆๆๆ ^^"

พอเข้าไปข้างในได้ ก็จะเป็นส่วนจัดแสดง แล้วก็จะมีพี่ๆที่ดูแลงานอยู่ตรงจุด(มืดๆ) ต่างๆ เพื่อคอยดูแลเรา (นึกในใจ .. มายืนมืดๆทำไมเนี่ยย น่ากลัวว ตกใจ .. เอิ๊กกๆๆ ><")

ต่อไปก็จะ review ภาพภายในงานให้ชมคร่าวๆ นะคะ บางจุดไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะ ไม่กล้า ^^" น่ากลัวเกินไป แต่ว่างงานนี้อยากให้ทุกคนลองไปดูกันค่ะ ลองไปดูว่า เขาใช้ความกลัวของมนุษย์ มาสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ได้อย่างไร รวมไปถึงธุรกิจที่เล่นกับความกลัวอย่าง "ภาพยนตร์" ที่เกี่ยวกับผี หรือความกลัวในรูปแบบต่างของมนุษย์ น่าสนใจมากๆเลยค่ะ :DD



ทามากอตจิ .. งงใช่มั้ยคะว่าเกี่ยวกันยังไง มันคือความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่เชื่อว่าทุกสิ่งบนโลกนี้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ จึงเกิดเป็นไอเดียสร้างสัตว์เลี้ยงดิจิตอลขึ้น



ของดำที่ใช้ไหว้พระราหุู



ยาผีบอก .. ทำมาจากสารสกัลจากต้น ที ทรี ชาวเมืองออสเตรเลียเชื่อว่า ใช้รักษาอาการหวัด เจ็บคอ และการอักเสบที่ผิวพรรณได้



เสื้อผ้าที่ใช้เผาส่งให้คนตายในสมัยก่อน



เทศกาลผีตาโขน



ห้องเล่าเรื่องผี และพากษ์เสียงสมัยปัจจุบัน



ห้องพากษ์เสียงหนังผีสสมัยก่อน .. อุปกรณ์ที่ใช้ก็เป็นสิ่งที่หาได้ในท้องถิ่นไทย เช่น เอาเม็ดถั่วเขียวใส่ในกระบอกไม้ไผ่ เวลาจะทำเสียงฝนตก ก็เอียงช้าๆ ไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แล้วทำสลับไปมา



อาหารเปรต .. เป็นขนมลา เส้นเล็กๆ ใช้ในงานพิธีชิงเปรตในงานบุญสารทเดือนสิบ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช


สุดท้าย .. อยากฝากข้อคิดนี้ไว้ค่ะ


งานนี้มีไปจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 อย่าลืมไปดูกันเยอะๆนะคะ แล้วจะไม่น่าเชื่อว่า แค่ คำว่า "ผี" จะสามารถสร้างอะไรๆที่สร้างสรรค์ได้ถึงขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อ ความรู้สึกของมนุษย์ทุกคน จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ฉะนั้น ต้องใช้วิจารณญาณในการเข้าชมและเชื่อถือนะคะ >v<"

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลยุทธ์การหามุมมองที่หลากหลาย

30 August 2010

วันนี้ตอนบ่ายได้ไปตะลุยท่องเที่ยวถึง 4 ห้าสรรพสินค้าใหญ่ๆที่อยู่ใจกลางกรุ่งเทพฯ 55+ เหนื่อยมากๆ ><" เริ่มจาก ..
ไปเอ็มโพเรียม : กะว่าจะไปดูนิทรรศการ "ผี" ที่ TCDC แต่ทว่า .. เขาปิดวันจันทร์ 55555
ไปเซนทรัล ชิดลม : Midnight Sale เพื่อนอยากไปดูเสื้อร้าน Kloset แต่เผอิญแบบที่จะเอา ไม่มีไซส์ M แต่ทางร้านเช็คของให้ พบว่า .. มีของที่ Isetan Central World -*-
ไป Isetan Central World : ไปซื้อเสื้อเป็นเพื่อนเพื่อน ^^"
กลับมาที่สยามพารากอน : พักเหนื่อย หาอะไรทาน แล้วก็เข้าห้องน้ำก่อนกลับบ้าน 555+

กลับมาถึงบ้าน รู้สึกเหนื่อยมากกกกกก ก ขาลากเลย หุหุ >.<



27 August 2010 .. วันที่เก้าของการเรียนวิชา Innovative Thinking ..


วันนี้อาจารย์ธงชัย สอนเรื่อง "กลยุทธ์การหามุมมองที่หลากหลาย" ซึ่งมี 2 วิธีหลักๆ คือ

1. เทคนิคการระดมสมองแบบดั้งเดิม (Brainstroming) ซึ่งมีกฏการใช้เพียงง่ายๆ นั่นก็คือ
- ควรแสดงความคิดออกมาอย่างอิสระ
- ความคิดยิ่งแปลกยิ่งดี
- ไม่ควรวิจารณ์ความคิดของผู้อื่น
- ควรช่วยกันแสดงความคิดออกมาให้ได้ปริมาณมากๆก่อน แล้วค่อยนำมาคัดเลือกสิ่งที่นำไปใช้ได้จริง

แต่ปัญหามันติดอยู่ที่ว่า .. เมื่อคนเราต้องเผชิญหน้าเวลาประชุมกัน มักจะไม่กล้าพูดแสดงความคิดเห็นออกมา ทำให้ได้ความคิดเห็นที่น้อยลง และนอกจากนี้ยังมีบางคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ความคิดของผู้อื่นอีกด้วย

ซึ่ง .. วิธีแก้ไขง่ายๆ ก็คือ ..ใช้การระดมสมองโดยการให้แต่ละคนเขียนความคิดของตนเองลงในกระดาษให้ได้มากที่สุด จากนั้นส่งเวียนกันในกลุ่มให้เพื่อนคนอื่นได้อ่าน และแสดงความคิดเห็นต่อ วิธีการนี้จะทำให้ได้ความคิดเห็นมากขึ้น และยังป้องกันการวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นได้อีกด้วย :))

ตัวอย่างคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ควรใช้ (ซึ่งอาจารย์เรียกบุคคลที่ชอบใช้คำเหล่านี้ว่า "ผีดูดพลัง" ฮ่าๆๆๆ ^__^)
- ไม่ได้ผลหรอก
- ความคิดนี้ดีก็จริง แต่..
- แล้วใครจะทำเล่า ?
- เราเคยลองมาแล้ว
- ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย
- คุณมาผิดทางแล้ว
- ถ้าความคิดนี้ดีจริง คงมีคนคิดมาก่อนแล้ว


2. เทคนิคการคิดแบบหมวก 6 ใบ (Six Thinking Hats)ของ Edward De Bono เป็นวิธีการคิดแบบขนาน อุปมาอุปไมยโดยใช้หมวก 6 สี นั่นคือ
- หมวกสีขาว คือ เน้นความจริง และ ข้อเท็จจริงจากสิ่งนั้นๆ
- หมวกสีแดง คือ เรื่องอารมณ์
- หมวกสีเหลือง คือ การมองโลกในแง่ดี ทางบวก
- หมวกสีดำ คือ ด้านลบของสิ่งนั้น
- หมวกสีเขียว คือ ความคิดในเชิงสร้างสรรค์
- หมวกสีน้ำเงิน คือ เรื่องการควบคุม จัดการ และวางแผน

หลักการก็คือ .. เวลาเราจะหาไอเดียอะไรใหม่ๆ ให้เราหาแนวคิดจากแนวทางทั้ง 6 แบบ จำแนกออกมาเป็นลักษณะต่างๆ เราก็จะได้ความคิดที่หลากหลายขึ้น แล้วยังมองในมุมมองที่กว้างขวางขึ้นอีกด้วย ;D


จะเห็นได้ว่า .. วันนี้เราได้เทคนิคการเพิ่มปริมาณไอเดียให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม บางทีการหาแนวคิดอยู่เพียงคนเดียว ก็อาจทำให้เรามองในมุมมองเดียว มองแคบๆ ทำให้ได้ไอเดียน้อยลง แต่ถ้าเราร่วมกันระดมสมองกับเพื่อนๆ หรือ ลองคิดในมุมมองที่กว้าง และหลากหลายขึ้นอย่างเทคนิคหมวก 6 ใบ เราก็จะได้แนวคิดที่มากขึ้น และหลากหลายขึ้น ทำให้เป็นประโยชน์ในการเลือกแนวคิดเและนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ลองใส่กันมั้ย?

26 August 2010


วันนี้เปิดเจอเว็บไซต์น่าสนใจเกี่ยวกับรองเท้าส้นสูง เลยอยากเอามาแบ่งปันทุกคน จริงๆแล้ว .. จิ๊บก็เป็นคนตัวสูงนะคะ (170 cm) แต่บ้ารองเท้าส้นสูงมากๆๆๆๆ ><" ชอบซื้อ ชอบใส่ มีแทบทุกสี 55+ แต่ก็ยอมรับนะคะว่าเมื่อยมากก -*- บางทีก็เดินแทบทั้งวันเลย แต่ในเมื่ออยากสวย ก็ต้องอดทนค่ะ แฮ่ๆ ^^"

มี guru ของเมืองไทยในด้านแฟชั่นเคยบอกไว้ว่า "การใส่รองเท้าส้นสูง ก็เหมือนกับการเก็บชั่วโมงบิน ต้องใส่เดินบ่อยๆ ไม่ไหวก็พัก แล้วเราจะสามารถใส่ส้นสูงเดินได้นานขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่เมื่อย แต่มันต้องใช้เวลา ความอดทน และฝึกบ่อยๆ ^_^ " นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า "ผู้หญิงคนไหนใส่ส้นสูงไม่เป็น ถือว่าไม่ใช่ผู้หญิง - -;"


ลอง มั้ย! ส้นสูง 12 นิ้วดีไซน์แปลก

รู้กันในแวดวงแฟชั่นว่าส้นสูงแบบไหน ดีไซน์ใครที่ว่าเริ่ดๆ ก่อนจะแจ้งเกิดก็ต้องผ่านเท้าสวยๆ ของ วิคตอเรีย เบ็คแฮม มาก่อนประหนึ่งดัชนีชี้ชะตารองเท้าว่าจะรอดหรือร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ๊วิคนั้นชื่นชอบนักกับรองเท้าส้นสูงพิเศษไม่ต่ำกว่า 8 นิ้ว

วันนี้ก็เลยมีนักออกแบบรองเท้าคนหนึ่งออกมาขอ "ลองดี" กับแฟชั่นนิสต้าทั้งหลาย ด้วยการส่งรองเท้าส้นสูงพิเศษที่สูงได้ใจคนตัวเตี้ยถึง 12 นิ้ว...เรียกว่าหนึ่งไม้บรรทัดพอดีเป๊ะ พ่วงดีไซน์ที่นักออกแบบเจ้าไหนๆ ก็คงไม่เสี่ยงกับเท้าของลูกค้าและค่าขึ้นโรงขึ้นศาลหากถูกฟ้อง แต่เขาก็ทำออกมาจนสำเร็จออกมาเป็นรองเท้าอย่างที่เราเห็นกัน




มิไฮ แอลบู ดีไซเนอร์ชาวโรมาเนีย ผู้ออกแบบรองเท้าชื่อก้องในวงการนักออกแบบอินดี้จนถูกขนานนามว่าเป็นสถาปนิก รองเท้า เพราะแต่ละแบบที่เขาคิดค้น โดยเฉพาะส้นรองเท้านั้นมักจะพลิกแพลงและหวือหวา แถมราคายังเสียดแทงหัวใจ เพราะรวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องชอบความแหวกแนวด้วย หลักฐานปรากฏอยู่บนป้ายราคาเพราะว่ารองเท้า "แฮนด์เมด" ทำมือล้วนๆ ของเขานั้น บางคู่ตกอยู่ราวๆ คู่ละ 1,200 ปอนด์ แน่นอนว่ามันคือค่าวัสดุชั้นดี ค่าฝีมือ และค่าไอเดียที่หาซื้อไม่ได้ง่ายๆ ตามห้างร้านธรมดา

ดีไซเนอร์สมองใสเผยว่า รองเท้าของเขานั้นถึงแม้จะสูงจนน่าหวาดเสียว แต่เขาคำนวณทุกขั้นตอนการออกแบบแล้วว่า ระหว่างพื้นและส้นรองเท้าควรจะทำมุมหรือต้านแรงกดทับอย่างไรให้ผู้สวมใส่ ปลอดภัยทุกย่างก้าว เพื่อให้สมกับฉายาสถาปนิกรองเท้า เขากล้าแม้กระทั่งเอาอัญมณีมีราคาทำเป็นส้น และแน่นอนอีก...เขาคำนวณความแข็งของวัสดุเพื่อเป็นที่รองรับทุกสเต็ปของสาวๆ มาเป็นอย่างดี โดยที่สาวเตี้ยตัน (แต่เงินถึงซะอย่าง) ไม่ต้องอยู่กับปมด้อยเรื่องความสูงอีกต่อไป จ่ายให้เขาพันปอนด์นิดๆ ก็จะได้ความสูงสง่าระดับน้องๆ นางแบบมาประดับตัว

"รองเท้าส้นสูงมันเป็นอะไรที่คลาสสิคสำหรับสาวตัวเล็ก ขาสั้น แล้วมันเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ได้จริงๆ นะ" มิไฮเอาประสบการณ์ออกแบบรองเท้ากว่า 20 ปีเป็นประกัน แถมฟันธงว่าต่อไปประชากรสตรีในโลกจะมีพัฒนาการเชิงถดถอย คือจะมีร่างกายที่เล็กลง ส่วนสูงก็ลดลงไปด้วย ถ้าไม่พูดเพื่อการค้า...เขาบอกว่า รองเท้าส้นสูงในอนาคตมีแนวโน้มที่จะออกแบบมาให้สูงขึ้นๆ จนส้นตึกรุ่นคุณแม่ที่ว่าฮาเฮมานาน อาจกลายเป็นรองเท้าแคชชวลธรรมดาๆ ก็ได้ในวันข้างหน้า




ผลงานออกแบบรองเท้าคู่เด่นของเขาที่คนมักกล่าวถึง ก็มีรองเท้าส้นพิเศษที่ขาส้นทำจากโลหะฉาบสีมรกต แต่ใช้หัวกะโหลกเป็นตัวยึดส้นกับพื้นรองเท้าเข้าด้วยกัน ไม่หนำใจยังประดับขนนกยูงรำแพนด้านหลังให้มันอลังการขึ้นไปอีก แต่ขอโทษ...ผลงานแบบนี้ไม่ได้ทำให้ใครขยาด เขาได้รับออร์เดอร์จากลูกค้าเฉพาะในโรมาเนียบ้านเกิดไม่ต่ำกว่าหนึ่งโหล สำหรับการออกแบบตัดเย็บรองเท้าแบบวันบายวันในคอลเลคชั่นใหม่ที่ทำสถิติความ สูงของตัวเองขึ้นไปเป็น 12.2 นิ้ว หรือประมาณ 35 ซม. และผลิตออกมาเฉพาะเบอร์เล็กๆ เท่านั้น จะเจาะกลุ่มลูกค้าแบบไหนได้ ถ้าไม่ใช่ลูกค้าร่างเล็กทั้งหลายที่อยากสูงสง่าทันใจ




"คู่นี้ถ้าเป็นสาวๆ ที่สูงซักประมาณ 5 ฟุต 9 นิ้ว รับประกันได้ว่าถ้าคุณใส่ต้องเป็นตึกเดินได้แน่ๆ" เขาขู่ให้ขำ

เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจว่าอะไรทำให้เขาลุกขึ้นมาออกแบบรองเท้า แทนที่จะไปออกแบบอาคารหรืองานสถาปัตยกรรมตามที่ร่ำเรียนมา เขาบอกว่า เขาชอบศิลปะ และหากทำให้ศิลปะมีค่าตามสูตรที่คำนวณออกมา มันก็น่าจะทำอะไรที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น หวยจึงมาตกที่งานออกแบบรองเท้า นอกเหนือไปจากนั้น แรงบันดาลอีกอย่างที่ทำให้รองเท้าของเขาออกมาวิจิตรพิสดาร คงมาจากความหลงใหลในงานสถาปัตยกรรมของศิลปินระดับโลกอย่าง คอนสแตน ติน แบรนคูซิ ประติมากรชาวโรมาเนีย และ แอนโตนิโอ กาอูดิ ผู้เนรมิตปราสาทอันลือลั่นแห่งแคว้นคาตาลันในสเปน

"จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องออกแบบมากนักหรอก บางครั้งก็ลอกแบบเขามา" มิไฮโจ๊กถึงตัวเขาเองอย่างอารมณ์ดี เพราะเราเชื่อว่าเขาพูดเล่น

เพราะอะไร...ก็รองเท้าส้นสูงบาดใจภายใต้ลายเซ็นของเขา ไม่ได้มีเรื่องราวให้คนพูดถึงเพียงแค่ "ความสูง" ไม่เชื่อก็ลองไล่ดูสิว่า รองเท้าของเขามีดีไซเนอร์คนไหนกล้าท้าชนในความบรรเจิดของไอเดียบ้าง

แวะชมรองเท้าสุดล้ำของมิไฮ แอลบู ได้ที่ www.mihaialbu.ro/




ได้เป็นนางแบบเมื่อไหร่ .. จะขอซื้อรองเท้าของมิไฮไว้สักคู่แล้วกันะค๊าา 55+ ;DD


ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.me-dzine.com/intrend/Shoe-mihaialbu.html

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมื่อของใหม่มา .. แล้วของเก่าหล่ะ?

25 August 2010

พอดีวันนี้ต้องเปิดเช็คเมลล์งานที่เพื่อนส่งมา จึงบังเอิญได้เห็นข้อมูลเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีในหน้าแรกของเว็บไซต์ MSN เลยอยากเอามาแนะนำให้เพื่อนๆทุกคนได้อ่านดู โดยเฉพาะคนที่กำลังอยากเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่ แต่ไม่รุจะทำอย่างไรก้บเครื่องเก่าดี เอะ.. มันก็ยังใช้ได้อยู่นะ แถมขายก็ไม่ได้ราคาด้วย (ซึ่งขณะนี้จิ๊บก็กำลังประสบปัญหานี้อยู่ = =;) ลองอ่านกันดูนะจ๊ะ ในเมื่อกิเลสมันตัดได้ยาก 55+ เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆในการจัดการปัญหากับเจ้าเครื่องเก่าได้ :)



5 วิธีแก้เซ็ง เอามือถือเก่าไปทำอะไรดี ?



ช่วงนี้มีแต่มือถือรุ่นใหม่ๆน่าใช้ออกมายั่งเงินในกระเป๋ามากมายหลายรุ่น โดยเฉพาะใครที่กำลังรอ iPhone 4 ตอนนี้ก็นอนนับถอยหลังกันได้เลยเพราะอีกไม่ถึงเดือนมันก็คงมานอนเล่นอยู่ใน บ้านเราแน่ๆ ปัญหาเวลาจะซื้อมือถือใหม่ที่ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องเจอแน่ๆก็คือ" แล้วเราจะทำอย่างไรกับมือถือเก่าเราดีนะ เป็น PDA Phone เสียด้วย" แน่นอนว่า PDA Phone ย่อมทำอะไรได้มากกว่ามือถือทั่วๆไปแน่นอน ประโยชน์การใช้งานมันก็หลากหลายกว่า

ผมเชื่อว่าหลายๆคนไม่สามารถทำใจ กับราคามือสองของเครื่องที่เราซื้อมาได้อย่างแน่นอน ผมลองยกตัวอย่างราคารับซื้อมือสองในช่วงกลางปี 2553 ให้ดูคร่าวๆก็แล้วกันนะครับ ถ้าใครจะขาย Omnia 16GB รุ่นแรก ราคารับซื้อไม่เกิน 3 พันบาท แต่ซื้อมาเกือบสองหมื่น , Omnia II ราคารับซื้อไม่เกิน 5 พันบาท , HTC HD2 ราคารับซื้อไม่เกิน 7 พันบาท , HTC Touch 3G ราคารับซื้อ 2 พันบาท ,HTC Hero รับซื้อไม่เกิน 5 พันบาท , HTC Tattoo ก็สองพันนิดๆ ราคาทั้งหมดนี้คือราคาเท่าที่ไปเดินสำรวจมาเมื่อไม่นานนี้

พอเห็นราคาแบบนี้กลืนน้ำลายไม่ค่อยลงจริงๆ แต่สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ซื้อแพงขายถูกเป็นเรื่องธรรมชาติของสินค้าไอที ต้องทำใจ ทำได้แค่เพียงเลือกรุ่นที่ราคาตกช้าที่สุดก็เท่านั้นเอง เอาหละครับในเมื่อราคารับซื้อมันโหดร้ายทำใจไม่ได้ เราจะเอามือถือเก่าเรามาทำไรดีนะ ลองมานั่งคิดกันเล่นๆดีกว่า อย่าเพิ่งตอบว่า " ก็ที่ทับกระดาษไง" เพราะมันเป็นประโยชน์อย่างสุดท้ายที่มือถือทั่วโลกสามารถทำได้เหมือนกัน

PDA Phone ไม่ใช่มือถือธรรมดา มันมีลูกเล่นและความสามารถที่มากมาย และเราน่าจะใช้มันได้ประโยชน์คุ้มค่ามากว่า 3 พันบาท ที่ร้านรับซื้อเค้าตีราคาให้เราแน่นอน สำหรับผมเองมือถือเก่าๆ ถ้าไม่ได้ยกให้คนอื่น ก็จะนำมาใช้ประโยชน์ดังต่อไปนี้ครับ

1.ใช้เป็น Wireless Router ขนาดเล็ก

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows Mobile หรือ Android รวมทั้ง iPhone เครื่องเก่า สมัยนี้มันมีโปรแกรมประเภท Tethering อยู่หลายตัวที่น่าใช้ เพราะเราสามารถเอาเครื่อง PDA Phone เก่าๆของเราจับมันมาทำ Wirless Router ได้ง่ายๆ เหมือนกับเราพก เร๊าเตอร์ที่บ้านออกไปทุกสถานที่ได้อย่างสบาย ๆ เช่นเวลาไปประชุมงานข้างนอก ก็เอาเจ้ามือถือเก่าของเรานี่แหละใส่ SIM แล้วต่อ GPRS หรือ 3G เพื่อกระจายสัญญาณให้กับ เครื่อง Notebook หรืออุปกรณ์อื่นๆอย่าง iPad เพื่อให้คนอื่นๆ สามารถต่อเน็ตแบบไร้สายร่วมกับเราได้อย่างสบายๆ แต่ว่า.... ค่าใช้จ่าย เราจ่ายเองนะครับ ควรจะใช้ แพคเกจ แบบอันลิมิต ไม่งั้นเราจ่ายอ่วมแทนเพื่อนแน่ๆ ซึ่งประโยชน์ Wireless Router ที่ผมเอง ช๊อบบบ ชอบ ก็คือจับเอา iPhone หรือ แอนดรอยด์เก่าของผม นำมาส่งสัญญาณให้กับ iPad WiFi รุ่นประหยัด

คือตอนแรกชอบ iPad แบบ 3G นะครับแต่ราคามันแพงไป แล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์กับ iPad ได้จริงหรือเปล่า เพราะตอนแรกมองแบบดูถูกมันว่ามันคือ iPhone ยักษ์ที่ไร้ประสิทธิภาพในการโทรออก แต่พอนำมาใช้จริงๆแล้วรักเจ้า กระดานชนวนปุโรหิตยุคดิจิตอลนี้เสียจริง เอาหละสำหรับการต่อ Wireless Router สำหรับ iPad ของผม หากเป็นบนเครื่อง แอนดรอยด์ ลองเข้าไปใน Market ในเครื่องแล้วหาโปรแกรมฟรีที่ชื่อว่า "Bernacle WiFi Tether" ส่วนถ้าเป็น iPhone ให้ลองโปรแกรมที่ชื่อว่า "MyWi 4.0 " ส่วน Windows Mobile ก็เพียบเลยครับ ลองหาคำ Keyword ว่า Tethering จะเจอเพียบเลย โปรแกรมประเภทนี้มีประโยชน์ดีครับ เพราะช่วยให้เราสามารถเล่น Net ได้แทบทุกที่ โดยไม่ต้องไปซื้อ Wireless USB Modem หรือ Wireless Router ใดๆทั้งสิ้น และโดยเฉพาะใครที่กำลังจะซื้อ iPad ลองโปรแกรมที่ผมแนะนำดูครับ เพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องไปจ่ายเงินแพงๆ ซื้อรุ่น 3G เลย และไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายซื้อ SIM กับโปรแพคเกจต่างๆเพื่อนำ SIM มาใส่ในเครื่องอีกต่างหาก



2.ใช้เป็น Mini Storage

ลองมองหาช่อง USB ว่างๆในเครื่องคอมพ์เราสักช่องสิครับว่ามีเหลือบ้างไหม ถ้าเหลือว่างๆจะปล่อยมันเอาไว้ทำไม? อลงหยิบเอามือถือเก่าๆที่ความจุสูงมาทำเป็น External HD กันดูดีกว่า อย่างพวก Samsung Omnia ตัวเก่ามี่มีหน่วยความจำมากถึง 16GB แถมยังเพิ่มเติม memory ได้ผ่านทาง MicroSD ในตัว ซึ่งนับรวมๆแล้วน่าจะได้เป็นสิบๆ GB เลยทีเดียว ซึ่งมันจะกลายเป็น External HD ตัวจิ๋วๆ ที่พกพาไปไหนต่อไหนได้สะดวก อาจจะดีกว่า Thumbdrive ในแง่ที่ว่ามันไม่หล่นหายง่ายๆแน่นอน และถ้าเดินทางไปต่างจังหวัด ก่อนไปจับมันไปลงโปรแกรมพวก Alram Clock ที่ตัวเลขใหญ่ๆสักหน่อย เอาไว้ใช้เป็นนาฬิกาปลุกหัวเตียงก็ดีเหมือนกัน

3. WiFi Phone

อีกประโยชน์ที่น่าสนใจก็คือเราสามารถใช้งานกับเทคโนโลยีที่มาแบบเรื่อยๆแต่แรง นั่นก็คือ WiFi Phone โดยเราสามารนำเอามือถือเก่าๆของเราที่มี WiFi สามารถนำมาใช้งานกับโปรแกรมพวก VOIP ได้หลากหลายเพื่อใช้ในการติดต่อที่ประหยัดมากขึ้น โดยสามารถค้นหาข้อมูลเรื่องนี้ได้ที่ http://www.skype.com/intl/en/get-skype/on-your-mobile/?cm_mmc=m102
โดยเฉพาะใครที่ใช้ iPhone รุ่นเก่าก็น่าลองใช้งาน Skype บน iPhone ดูครับเพราะลูกเล่นมันน่าสนใจทีเดียว

4. GPS

ผมเจอหลายๆคนที่เอาเครื่อง PDA Phone รุ่นเก่าๆจับมันมาทำ GPS ติดรถ เพราะลูกเล่นของ PDA Phone ตั้งแต่ยุคปี 2007 ขึ้นมาส่วนใหญ่จะมีฟังค์ชั่น GPS ในตัวเครื่องอยู่แล้ว แม้แบตมันจะเสื่อมแต่ยังไงเราก็ใช้มันต่อเข้ากับที่จุดบุหรี่ในรถยนต์อยู่ดี ดังนั้นประโยชน์ในการใช้มันเป็นเครื่องนำทางคงเป็นทางเลือกแรกๆที่เราน่าจะ หยิบมันมาปัดฝุ่นใช้งานกันดู ส่วนโปรแกรมด้าน GPS ในปัจจุบันก็มีหลากหลายครับ แล้วแต่เราจะเลือกใช้มัน



5. GPS Tracker สำหรับคนชอบเดินทาง

สำหรับใครที่ชอบขี่จักรยาน Mountain Bike ผมว่าเราลองหาเม๊า ที่จับตัวเครื่องกับตัวจักรยานแล้วเอาเครื่อง PDA Phone เก่าไปเราไปแปะไว้ก็ดีเหมือนกัน เช่นหากใครใช้เครื่อง Windows Mobile ลองหาโปรแกรมฟรีแวร์ที่ชื่อว่า GPS Sport Tracker ซึ่งเป็นฟรีแวร์เอามาลงในเครื่องดูครับ เพราะมันมีประโยชน์มากมาย เช่นวัด Speed ความเร็ว ความสูง เวลาต่างๆ รวมทั้งเส้นทางการเดินทางของเราทั้งหมด ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับ Google Map ได้ด้วย เป็นโปรแกรมฟรีที่ดีมากสำหรับคนชอบกีฬา มอเตอร์สปอร์ตแบบกลางแจ้ง ลองหาดาวโหลดได้ฟรีที่ http://www.freewarepocketpc.net/ppc-download-gps-sport-tracker.html



ผมมั่นใจว่าประสิทธิภาพการทำงานของมันน่าจะคุ้มกว่าเอาเครื่องไปขายร้านอย่างแน่นอนครับ เพราะผมลองแล้ว

ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆที่เราพอจะหาได้จากเครื่องมือถือที่เป็น PDA Phone ตัวเก่าของเราที่มันยังมีประโยชน์อีกมากมาย มากกว่าตัวอย่างที่ผมนำมาแนะนำในวันนี้เสียอีก บางคนบอกว่าเอาไปลงเกมส์มันส์ๆให้ลูกเล่นแทนที่จะไปซื้อเครื่อง PSP หรือ Nintendo DS และบางคนบอกว่า กล้องในเครื่องบางรุ่นอย่างเช่นพวก Omnia มันตั้งหลายล้านพิกเซล ถ่ายมาก็ชัดเจนดี เอามาเป็นกล้องดิจิตอลสำรองก็ดีเหมือนกัน ก็แล้วแต่นะครับว่าใครมีไอเดียแบบไหน ลองเอาไปดัดแปลงกันดู ถ้าคิดไม่ออกจริงๆสงสัยคงต้องใช้มันเป็นที่ทับกระดาษราคาแพงไปก่อนก็ยังไหว

อุปกรณ์ไอทีไม่เพียงแต่มือถือ ยังมีอุปกรณ์หลายอย่างที่กลายเป็นขยะไฮเทคภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ซื้อมาเรือนหมื่นเรือนแสนแต่กลายเป็นขยะที่ไม่มีค่าภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี และทำลายสิ่งแวดล้อมเราอีกต่างหาก หากอุปกรณ์เก่าๆที่เรามีอยู่ยังใช้งานได้ดี ว่างๆลองหาเวลาหยิบมันออกมาปัดฝุ่นแล้วนึกดูดีๆครับผมเชื่อว่าประโยชน์มัน ยังพอมีอีกเยอะ ดีกว่าต้องไปเสียเงินเสียทองซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆตลอดเวลานะครับ



พอจิ๊บได้อ่านแล้ว รู้สึกไม่น่าเชื่อว่า โทรศัพท์มือถือของเราจะสามารถทำอะไรได้มากกว่า การโทรเข้า โทรออก และส่งข้อความ 55+ ถ้าจิ๊บได้ซื้อเครื่องใหม่แล้ว จิ๊บจะเอาเครื่องเก่าไปทำเป็น GPS ในรถของตัวเองอย่างแน่นอน :DD

ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=11279

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

NLP: Neuro Linguistic Programing

24 August 2010

วันนี้มีเรียนวิชา ภาวะผู้นำ เวลาบ่ายตามปกติ แต่ทำม๊ายย ย ทำไม ก็ไม่รู้ ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยยย ย กว่าปกติ ง่วงนอนมากๆ แต่ก็พยายามตั้งใจเรียนให้มากที่สุด (นึกในใจ .. เดี๋ยวก็ 4 โมงเย็นแล้ว TT^TT)


20 August 2010 .. วันที่แปดของการเรียนวิชา Innovative Thinking ..

วันนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรพิเศษ "คุณชาตรี เตชะสมบูราณากิจ" มาบรรยายในหัวข้อเรื่อง The meaning of life แค่ได้ยินชื่อก็ ข น ลุ ก . . บรื๊ยย !! แล้ว 55+ นั่นสิ เราไม่เคยนึกเจาะลึกถึงประเด็นนี้เลยว่า แล้วความหมายชีวิตของเรามันคืออะไรกันแน่ ??

คุณชาตรีขึ้นต้นด้วยคำถามที่ว่า "อะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ?"

พ่อรวย?
ต้องฉลาด เรียนเก่ง?
หล่อ หรือสวย?
มีเส้น?
มีวัยวัฒิ?
หรือ .. เฮง?

คุณชาตรีให้นิสิตทุกคนปฏิบัติดังนี้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเรียนรู้การประสบความสำเร็จ นั่นก็คือ ..
1. ห้ามคุยโทรศัพท์ในห้องเรียน เพราะจะเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ในขณะนั้น
2. ทำตัวเป็นพวก "น้ำไม่เต็มแก้ว" พยายามตักตวงความรู้ให้ได้มากที่สุด
3. มีพลังในการทำงาน
4. ขยาย comfort zone เปิดกว้าง ขยายขอบเขตส่วนบุคคลออกไป

เอาหล่ะ . . มาเปิดเผยปัจจัยความสำเร็จกัน !!!

20% มาจากเทคนิค ความรู้ และวิธีการ(ที่เราใช้เวลาเรียนรู้จากการเรียนในโรงเรียน และมหาวิทยาลัยมาเป็น สิบๆ ปี !!OoO OMG!!)
ส่วน 80% . . อยู่ที่จิตใจ !!! O.O#

ซึ่งจิตใจของเรานั้น แบ่งได้ 2 ส่วนคือ จิตสำนึก กับจิตใต้สำนึก และจะมีเส้นบางๆคั่นอยู่ระหว่างกลาง ทำให้เรายากที่จะเข้าไปถึงจุดนั้น



ฉะนั้น .. เราต้องเข้าใจจิตใต้สำนึกของเราให้ได้ ด้วยวิธีที่คุณชาตรีสอนก็คือ NLP: Neuro Linguistic Programing เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกับจิตใต้สำนึก ซึ่ง NLP มีต้นกำเนิดมาจากบุคคลสำคัญถึง 2 ท่าน คือ Richard Bandler และ John Grinder โดยสามารถดูวิธีการจากแผนภาพต่อไปนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการการรับข้อมูลโดยผ่านระบบประสาทสัมผัส ผ่านขั้นตอนตามลูกศรจนเกิดเป็นพฤติกรรมขึ้น



นอกจากนี้.. คุณชาตรียังได้ให้นิสิตทุกคนทำ work shop เกี่ยวกับการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราชอบกินแต่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองจึงอยากที่จะเลิกโดยให้นึกถึงสิ่งที่เราไม่ชอบกิน ซึ่งมีวิธีการดังนี้

1. ให้นึกถึงสิ่งที่ชอบกินแล้วอยากจะเลิกกิน
2. ถามคำถามตามในกระดาษคำตอบ แล้วให้เพื่อนจดบันทึก
3. ให้นึกสิ่งที่ไม่ชอบกิน
4. ถามคำถามตามในกระดาษคำตอบ แล้วให้เพื่อนจดบันทึก
5. หาจุดต่างระหว่างสองสิ่ง
6. ให้จินตนาการสิ่งที่ชอบกินตามจุดที่ต่างของสิ่งที่เราไม่ชอบกิน

วิธีการนี้จะช่วยให้เราลดความอยากกินสิ่งนั้นได้เลยที่เดียว เวลาเห็นของที่ชอบ ก็ให้เราจินตนาการตามสิ่งที่เราไม่ชอบกิน ความอยากก็จะลดลง

การเรียนในคาบนี้ มีประโยชน์ต่อตัวจิ๊บมากๆ เพราะ คุณชาตรีสอนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางจิตวิทยาโดยตรง จิ๊บสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการเรียนและการทำงานต่อไปในอนาคต นอกจากนี้เรื่องจิตใต้สำนึกนั้น ยังเป็นที่คนส่วนใหญ่คิดว่าไกลตัวและไม่สำคัญต่อการกระทำและการเลือกดำเนินชีวิตประจำวัน แต่เชื่อเถอะค่ะว่า ถ้าเราเข้าใจจิตใจของตนเองอย่างถ่องแท้ว่าเราต้องการอะไรอย่างแท้จริง เราก็จะสามารถจัดการกับชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน :DD