วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ที่สุดของมาสคาร่า .. ในเวลานี้ (อยากได้ๆ >v<)

28 July 2010

เปื่อยๆ อยู่บ้าน .. เพิ่งจะเริ่มมีแรงอ่านหนังสือก็วันนี้แหละ แต่ก็มึนๆ @v@ ยาลดน้ำมูกเหมือนกัน 55 เลยนอนพักเป็นระยะ วันนี้ตอนเย็นพี่เลี้ยงเอาหนังสือแพรวปักษ์ล่าสุดมาให้อ่าน ไม่รีรอ .. ทิ้งหนังสือเรียนเลย ฮ่าๆๆ ลองเปิดอ่านผ่านๆ .. มีคอลัมน์ประเภทความสวยความงามเพียบเลย ก็เลยอ่านพอเป็นวิทยาธาน เผื่อจะได้เอามาปรับใช้กับตัวเราบ้าง (ถ้าจะซื้อให้เหมือนในหนังสือทุกอย่างก็คงจะไม่ไหว - -")

แต่.. มีเครื่องสำอางค์ชิ้นหนึ่ง ที่แสดงถึงนวัตกรรมขั้นสุดยอดดด !! น่าสนใจมากๆ นั่นก็คือ มาสคาร่า . . หลายคนคงจะสงสัยแล้วสินะคะว่า มาสคาร่ายังจะต้องมีการนำนวัตกรรมใหม่เข้าไปช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วยหรอ?? 55 สาวๆหลายคนคงจะตอบได้นะคะว่าเพราะอะไร ก็แหมม .. เป็นคนขนตาน้อยบ้าง ขนตาสั้นบ้าง บางคนก็ขนตาไม่งอน ไม่ดกดำ ต่างๆนานา สารพัดปัญหา ^^" วันนี้มีผลิตภัณฑ์ที่จะมาช่วยพวกเราแล้วค่ะ

ลังโคม (Lancome) ได้นำที่สุดของนวัตกรรมในระบบ micro-oscillation ของพาวเวอร์มาสคาร่า ส่ายไปมาตามแนวนอนไม่น้อยกว่า 7,000 ครั้งต่อนาที เพื่อการปัดมาสคาร่าที่สมบูรณ์แบบ จับเคลือบรอบขนตาทุกเส้นครบ 360°



Micro-oscillation : ประสบการณ์พิเศษสุดเพื่อขนตาสวยไร้ขีดจำกัด
เทคโนโลยีที่มีวิสัยทัศน์ของมาสคาร่าระบบ micro-oscillation สูตรแรกของลังโคมที่ตอบสนองทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความยาว เพิ่มความโค้งงอน หรือปรับขนตาให้ได้รูป มาสคาร่าที่มีประสิทธิภาพรอบตัวนี้คือสัญลักษณ์ของความหรูหราและเทคโนโลยีชั้นสูง ประกาศยุคใหม่แห่งการแต่งหน้าด้วยการเปิดดวงตาของผู้หญิงให้ดูโตขึ้นอย่างที่ไม่เคยมาก่อน แต่งและเคลือบขนตาให้สวยสมบูรณ์แบบจรดปลาย เรียวยาวราวไม่สิ้นสุด แต่งขอบขนตาได้รูปและเด่นชัดขึ้น ดูหนาขึ้นประหนึ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ…

มาสคาร่าเนื้อเนียนละเอียด
เนื้อมาสคาร่าผสานนวัตกรรมพิเศษ : เทคโนโลยี UFD (Ultrafi ne Dispersion) ช่วยให้เนื้อมาสคาร่าเหลวและนุ่ม ลื่นไหลไปบนขนตา และปัดง่าย นอกจากนั้น ก้านปัดยังช่วยควบคุมเนื้อมาสคาร่าให้จับเคลือบขนตาในปริมาณที่พอเหมาะและสม่ำเสมออีกด้วย

เสริมคุณค่าให้เนื้อมาสคาร่าสูตรนี้ด้วยสารลดแรงตึงผิวสูตรพิเศษซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับระบบ micro-oscillation ทำให้เคลือบขนตาได้ดำเข้มสมบูรณ์แบบจากโคนจรดปลาย จากเช้าจรดค่ำ หุ้มขอบขนตาด้วยฟิล์มเพื่อผลการแต่งขนตาที่สวยเนี้ยบ ไม่จับเป็นกระจุก ขนตาได้รับการปรับรูป เพิ่มความเรียวยาว และดูหนาขึ้น


ราคาจำหน่ายตอนนี้เพียง 1,500 บาท และในประเทศไทยพร้อมวางจำหน่ายที่เคานท์เตอร์ลังโคม ทุกสาขาทั่วไทย ตั้งแต่ เมษายน 2552

อ่านในหนังสือก็รู้สึกอยากได้และ พอมาอ่านรายละเอียดการทำงานของมันในเว็บไซต์แล้ว บอกได้คำเดียวว่า "แท่งต่อไปของจิ๊บชัวร์!! :DD"


ขอบคุณเว็บไซต์ www.lancome-th.com

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระ

27 July 2010

วันที่สาม .. ของการป่วยเป็นหวัดลงคอ -"- รู้สึกเซ็งจริงๆ อุตส่าห์หยุดยาวแท้ๆแทนที่จะทำอะไรได้บ้าง กลับต้องมานอนซม ม .. อยู่กับบ้าน อ่านหนังสือสอบก็ไม่รู้เรื่อง งืดดๆ >_<"


23 July 2010 .. วันที่หกของการเรียนวิชา Innovative Thinking ..

วันนี้อาจารย์สอนเรื่องใหม่ คือ "กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระ" หนึ่งในกลยุทธ์นี้ก็คือ การใช้แพร่งความคิด (Intersection) .. แพร่งความคิด คือ การบรรจบกันของไอเดียจากหลายๆ ศาสตร์มารวมกัน จนนำไปสู่การคิดนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา แพร่งความคิดมี 2 รูปแบบ คือ
1. ความคิดเฉพาะทาง (Directional Idea) คือ ความคิดที่ผลักดันศาสตร์นั้นๆ ไปทิศทางใดทางหนึ่ง ก่อให้เกิดนวัตกรรมเฉพาะทาง แต่แนวคิดนี้ มักคาดการณ์ได้ และมักไม่ได้ไอเดียใหม่ๆ เท่าที่ควร
2. ความคิดผสมผสาน (Intersection Idea) เป็นการเอาความรู้จากหลายๆ ศาสตร์มาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

แต่.. เมื่อมีการสร้างไอเดียใหม่ๆ ก็มักพบสิ่งที่มากีดขวางความคิดเหล่านั้น จึงเกิดเป็นการรบกวนการเชื่อมโยงทางความคิด ซึ่งผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง มักจะมีสิ่งกีดขวางการเชื่อมโยงต่ำ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ สามารถลดสิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้โดย ..
- พูดคุยกับบุคคลนอกศาสตร์ของตน
- ลองทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เคยทำมาก่อน
- การอุปมาอุปไมย (Make a Metaphor)
- การกระตุ้นอย่างสุ่ม

กิจกรรมของวันนี้ คือ .. การจับคู่แผ่นภาพ 19 ใบ โดยจะมีอยู่ 8 คู่ ที่มี 2 ใบ แผ่นภาพที่เหลือ 3 ใบจะอยู่คู่กัน กิจกรรมนี้เป็นการสร้างความคิดสร้างสรรค์ในการเชื่อมโยงรูปภาพ และเรื่องราวในภาพเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา เช่น การใช้สีสันที่ฉูดฉาดของลูกกวาด ผนวกกับคอมพิวเตอร์รูปทรงเดิมๆ ออกมาเป็นคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ๆ ที่มีสีสันน่าใช้ ดึงดูดลูกค้า หรือจะเป็นการนำการละเล่นม้าหมุนของเด็กๆ มาผนวกเข้ากับเครื่องปั๊มน้ำ การเหวี่ยงม้าหมุนอย่างสนุกสนานของเด็กๆ จะช่วยส่งแรงให้เครื่องปั๊มน้ำสูบน้ำจากใต้ดินขึ้นมาได้ เป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า กิจกรรมนี้ช่วยเป็นแรงผลักดันให้นิสิตสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา แม้จะจับคู่แผ่นภาพไม่ถูก แต่ภาพที่จับคู่ออกมา ก็เป็นการจุดประกายไอเดียใหม่ขึ้นมา และไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีสิ่งประดิษฐ์ที่มาจากไอเดียเหล่านี้ก็ได้ :DD

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Mod - X .. My Acer Aspire Timeline X ;D

25 July 2010



วันนี้ไปส่งคุณพ่อที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนเช้าตรู่ พอสายๆรู้สึกเริ่มไม่ไหวกับอาการไอและจามเรื้อรังของตัวเอง ก็เลยไปหาหมอ ปรากฎว่า .. เป็นหวัดลงคอ นัดฉีดยาเพิ่มอีก 2 วันด้วย ตกบ่าย .. ก็เลือดกำเดาออกอย่างไม่รู้สาเหตุ งืดๆ -..- อยากจะชักแหง่ก ๆ



สืบเนื่องจากเมื่อวันเสาร์ 24 July 2010 .. คุณพ่ออารมณ์ดี ~ พาจิ๊บไปดู Notebook เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ ดีใจมากกก!!! ^__^ เครื่องแรกในชีวิต ก่อนหน้านี้ได้เคยดูรุ่นต่างๆ ของ Acer ไว้บ้างแล้ว ก็กะว่า คงจะซื้อเอง เลยดูรุ่น Aspire ที่ราคาประมาณ 20,000 กว่าบาท แต่คุณพ่อ พาไปดูรุ่นที่ดีกว่านั้น .. ก็เลยได้ "Acer Aspire Timeline X 4820TG" เครื่องสีดำ หน้าจอ 14 นิ้ว เงาวิ๊งง ง~ ดุมากกกก 555+ ซึ่งสเปคเครื่องดีกว่าเห็นๆ ก็เลย .. เลยตามเลยละกันค่ะ ฮ่าๆ แค่เห็นเครื่องก็ถูกใจแล้ว :))



มาดูสเปคเครื่องกันดีกว่า .. เอาคร่าวๆแล้วกันนะคะ ว่าจะเจ๋ง ง แค่ไหนสำหรับ Notebook ที่เป็นเครื่องแรกของจิ๊บ (อ้อๆ ลืมบอกไปค่ะว่า .. เจ้าตัวนี้จิ๊บตั้งชื่อให้ว่า "มดเอ๊กซ์" นะคะ 55+ มดตะนอ ย มีเพื่อนใหม่แล้ววว eiei >.<





ตัว CPU เป็น Intel Core i5 processor 430M
Ram ตอนนี้เพิ่มเป็น 4 GB แล้วค่ะ
ความเร็วที่วิ่งได้ประมาณ 2.26 GHz สูงสุดที่ถามพี่เซลล์ คือ 2.53
หน้าจอ 14 นิ้ว HD LED LCD
มีเครื่องเล่น CD - DVD ในตัว
มี Acer Cystal Eye Webcam
Battery 9 cells ใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมงง !!!


ในเรื่องแบตเตอรรี่ ไม่รู้ว้าโม้หรือเปล่าที่อยู่ได้นานถึงขนาดนั้น 55 แต่ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีเขาดีจริงๆ แบตเตอรี่อยู่ได้ใช้ได้ทีเดียว.. แม้ว่าจิ๊บจะยังไม่ได้ลองใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือว่า ลองใช้ดูหนัง เล่นเกมส์ ก็ตาม (กำลังคิดว่าจะลองดูพรุ่งนี้) แต่เมื่อคืนจิ๊บลองชาร์ตไฟไว้จนเต็ม แล้ววันนี้ก็ลองเปิดดูทั้งวัน เพื่อทดลองเครื่อง จิ๊บเปิดตั้งแต่ 10.00 - 13.00 น. เปิดทิ้งไว้แล้วลองเปิดเพลงฟังดูเพื่อเช็คลำโพงด้วย แล้วก็ปิดเครื่อง (ไปเที่ยวบ้างง ~ ฮ่าๆ) จากนั้นกลับมาตอน 20.00 น. ก็ลงโปรแกรม Printer, itunes, ต่ออินเตอร์เน็ต เล่นเกมส์ในเว็บไซต์นิดหน่อย (เป็นเกมส์ flash), เปิดหน้าเว็บต่างๆ, เล่น MSN, แล้วก็นั่งเขียน Blog ^^" จนถึงเวลานี้ 23.30 น. แบตเตอรรี่ลดไปเพียง 25% เท่านั้น ตอนนี้เครื่องคำนวณให้ว่าสามารถใช้งานได้อีกประมาณ 9 ชั่วโมง สุดยอดดดด!!!





วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กลยุทธ์การตั้งคำถาม

22 July 2010





วันนี้ .. วันครบรอบมดตะนอ ย อายุ 5 เดือน 555+ ^^"


วันนี้ .. วันสอบFinal ของ BioPsychology TT^TT


วันนี้ .. วันสุดท้ายของการเรียนวิชานี้ (อาจารย์จะไปอยู่สิงคโปร์)





เศร้าใจ ~ -*- ถึงจะเหน็ดเหนื่อยมาตลอด 2 เดือน แต่ก็มีความสุขที่ได้เรียนวิชานี้ :)) แต่ถึงอย่างไร . . วันนี้ก็ทำข้อสอบไม่ทันอยู่ดี Y.Y เฮ้อออ อ ~








16 July 2010 .. วันที่ห้าของการเรียนวิชา Innovative Thinking ..





วันนี้อาจารย์สอนเรื่องกลยุทธ์ในการตั้งคำถาม เพื่อแสวงหาไอเดียใหม่ที่สร้างสรรค์ โดยหลักการมีอยู่ว่า คำถามที่ตั้งออกมานั้น ต้องสามารถแตกคำตอบออกมาได้หลากหลายทาง เช่น " ฉันสามารถที่จะ . . . โดยวิธีใดได้บ้าง (In what ways might I . . . ?)"





โดยเทคนิคการตั้งคำถามง่ายๆ มี 3 แบบ คือ


1. Why - Why Diagram






2. ตั้งคำถามแบบตรงกันข้าม


3. อะไรจะเกิดขึ้น? ถ้า . .

เทคนิคที่ 3 อาจารย์ให้จับกลุ่มแล้วช่วยกันคิดคำตอบ ปรากฎว่า .. ทุกคนคิดออกมากันอย่างสร้างสรรค์ บางคนก็คิดออกได้แบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เช่น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า .. แมลงสาบครองโลก หรือ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า .. โลกความเป็นจริงที่เรารับรู้อยู่นั้น เป็นเพียงแค่ความฝันของใครคนหนึ่งเท่านั้น เป็นต้น กิจกรรมนี้ช่วยให้เราทุกคนเห็นความคิดอย่างสร้างสรรค์ของตัวเอง และข้าพเจ้าเชื่อว่า ความคิดบางอย่างถ้าเรานำไปต่อยอดความคิด เราก็สามารถทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงได้ เป็นการเอาความคิดหลุดออกมาจากกรอบความคิดเดิมๆภายในหัวของเราเอง ฝึกคิดบ่อยๆ .. แล้วเราจะพบไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ ขึ้นมาเอง :DD

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

My Mazda 2*

18 July 2010


หลายวันก่อน .. ก็ลองนั่งนึกดูว่า เอ้ . . ตัวเองมีความชอบอะไรบ้าง อยากจะลองมา reveiw ใน Blog ของตัวเองดู :)) ซึ่งก็มีหลายอย่างมากกกๆ ^^" 55+ แต่มีสิ่งหนึ่งที่จิ๊บได้รับมาจากคนในครอบครัวทุกคน นั่นก็คือ "ความชอบเรื่องรถ" ถึงแม้ว่า .. จะไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์ หรือรายละเอียดปลีกย่อยมากสักเท่าไหร่ (พอจะรู้นิดนึง >v<) แต่ก็รู้ตัวว่า .. ชอบมาตั้งแต่เด็ก และเวลาเห็นรถคันหนึ่งวิ่งผ่าน เอาแค่เห็นแว๊บๆ ก็ได้ ก็สามารถบอกได้แล้วเป็นรถยี่ห้ออะไร (เพื่อนเคยทดสอบมาแล้ว 55+ ทำเอาเพื่อนอิ้งไปเลย)



รถคันแรกของจิ๊บ .. <333



เมื่อปีที่แล้ว 30 ก.ค. 2552 .. วันเกิดของตัวเอง จิ๊บได้รับสิทธิ์จากคุณพ่อ ให้ขับรถคนเดียวได้ สามารถเอามามหาวิทยาลัยได้ OoO!!! กรี๊ดดด ดีใจมากๆเลยค่ะ รีบโทรบอกเพื่อนเลย 55+ แต่ตอนนี้ .. จิ๊บมีรถเป็นของตัวเองแล้วค่า !!! กิ๊บกิ๊วว ว ~ คุณแม่ซื้อให้ :D ดีใจมากๆเลยค่ะ แต่ตอนแรกๆ ก็บอกคุณแม่ว่าไม่อยากได้ ยังไม่จำเป็น แต่คุณแม่กลัวเราน้อยใจ เพราะ คุณแม่จะซื้อให้พี่ชายอยู่แล้ว เราเลยได้ผลพลอยได้ไปด้วย อิอิ x))



My Mazda 2* .. มดตะนอ ย ของจิ๊บ xb ..
ตอนป้ายแดง >v< ชอบตอนนี้มากๆเลย เหมือนทาปากสีแดง


พอป้ายขาวแล้วปากซีดเชียว 55+ อ้อๆ .. ส่วนคันดำ ชื่อ มดดำค่ะ :)) เป็นรถของคุณพ่อ และเป็นรถคันแรกที่จิ๊บได้ขับ <33
ถอยมดตะนอ ย มาวันที่ 22 ก.พ. 2553 ตอนนี้ก็ใกล้จะอายุ 5 เดือนและ ;b ยอมรับว่า แรกๆที่ไปดูที่โชว์รูมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สะดุดตามากมาย เนื่องจากไฟตัดหมอกเขาว่ากันว่า เหมือนมีสิว 55+ (จริงๆ ใจน่ะอยากได้ Jazz แต่พี่ชายเลือกไปก่อน) แต่พอได้มา .. ยิ่งมองยิ่งหลงรัก ~ >3< น้องสองคนนี้สวยมากก แอบซ่อนเปรี้ยวด้วย (เหมือนคนขับ55+) ด้วยสี ที่เป็นสีเทาเข้ม ทำให้ดูขรึมๆ ดุๆ แถมไฟท้ายก็เหมือนกรีดอายไลเนอร์อีกต่างหาก (คิดเอง 555) เวลาล้างรถเสร็จเมื่อไหร่ .. หล ง ~ ทุกที จุ๊บๆ ^3^ เพื่อนๆเคยบอกว่า มานั่งรถจิ๊บทีไร ..กลิ่นก็ยังใหม่ แถมยังเงาตลอดเวลาอีก อิอิ ก็คนมันรักรถนี่นา ^^
ที่นี้ .. เรามาพูดถึงสมรรถนะของมดตะนอ ย กันบ้างดีกว่า .. หลายคนคงจะทราบแล้วนะคะ ว่า Mazda 2 เป็นรถที่ได้รับรางวัล "รถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก ประจำปี 2551 (2008 World Car Of The Year)" แม้จะเป็นเพียงรถ City Car แต่ได้รับการออกแบบถ่ายทอดจากรุ่นพี่ค่ายเดียวกันอย่าง RX-8 และ MX-5 (มิน่าหล่ะ .. สวยเชียว >.<) จึงได้อารมณ์ Sport มาอย่างเต็มๆ แต่!! .. แต่ . . แต่ . . . ด้วยลูกเล่นของการขับขี่ที่เร้าใจแบบ zoom - zoom .. ก็อาจเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทยที่เรียกง่ายๆ ว่า "สูบ - สูบ" ไม่น่าเชื่อว่า .. น้องสองตัวเล็กแค่นี้ แต่ถ้าเราเหยีบบแรงอยู่ก็ทำให้สิ้นเปลืองได้ถึง 10 กิโล/ลิตร ได้เลยทีเดียว -*- (มดตะนอ ย เฉลี่ยน้ำมันได้ 9.5 ลิตร/100 กิโลเมตร) ข้อมูลเหล่านี้จิ๊บเห็นมีเพื่อนที่ใช้น้องสองเหมือนกันมาแชร์ในเว็บไซต์ http://www.thaimazda2.com/ ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย นึกว่ารถเรา ..น้ำมันรั่วรึป่าวหว่า - -* 555 ซึ่งจริงๆแล้ว เครื่องยนต์ 1500 cc น่าจะประหยัดได้มากกว่านี้ ขนาด Jazz ของพี่ชายยังได้ถึง 13-14 กิโล/ลิตร (มีคนเคยโพสต์ในเว็บไซต์ว่า เคยขับได้ 17 กิโล/ลิตร เหมือนกัน แต่เขาขับออกต่างจังหวัด และขับที่ความเร็ว 70-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง -*-) ก็นะ .. รถเราขับในเมืองนี่นา .. แต่ไม่เป็นไร .. ก็รักมดตะนอ ย ไปแล้วหนิ ^^" เติมน้ำมันสัปดาห์ละ 700 บาท ก็ยังโอเคอยู่จ้า ~
อีกเรื่องหนึ่งของน้องสอง .. คือเสียงเตือนต่างๆ เช่น ไม่คาดเข็มขัด ถ้าเราไปแล้วความเร็วเกิน 20 km/hr จะมีเสียงเตือน (ตี๊ดด ตี๊ดด ตี๊ดด ..) ดังไปตลอด -*- หรือ .. รถสตาร์ทอยู่แล้วเผลอเอากุญแจออกนอกรถ จะมีเสียง ปี๊บๆ ปี๊บๆ ปี๊บๆ ดังมากกก จากตัวรถ หรือ .. เราจอดเข้าเกียร์ N ไว้ จะเปิดกระโปรงหลังไม่ได้ (แถมจะมีเสียง ปี๊บๆ ปี๊บๆ ปี๊บๆ ดังอีกต่างหาก -*-) ฯลฯ ก็ .... 555+ แต่ก็ดีนะคะ เขาก็ช่วยเตือนให้เราระวัง แรกๆที่ถอยมานี่ ดังง ง ทุกวัน เพราะ ลืม 55+ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยแล้ว :DD
นี่แหละคือเหตุผลที่จิ๊บเรียกมดตะนอ ย ว่า "น้องสอง .. จอมตะกละและขี้โวยวาย" 55+ ;DD
ส่วนเรื่องอันตรายๆ ที่จิ๊บเคยได้ยินเกี่ยวกับน้องสอง คือ .. เรื่องรีโมตเปิดรถ คือว่า รีโมต Mazda 2 จะเป็นแบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry) คือสามารถเปิด - ปิดรถ และสตาร์ทรถ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ เพียงกดปุ่ม/บิด เท่านั้น จิ๊บเคยถามพี่เซลล์ พี่เขาบอกว่าเขาใช้คลื่นวิทยุต่ำในการสั่งการ และจิ๊บเคยอ่านเจอในเว็บไซต์ว่า สามารถเอาคลื่นจากการโทรเข้า - ออกของโทรศัพท์ เปิดประตูได้!!!! OoO ในระยะใกล้ๆ จิ๊บยังหาข้อมูลที่แน่ชัดไม่ได้เหมือนกัน และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่ แต่ว่า .. ถ้าทำได้จริงก็ . . . -*- อันตรายแน่นอน (Jazz โจรงัด 5 นาทีก็เอาไปได้และ นี่ถ้า Mazda 2 เปิดได้ง่ายๆอย่างงี้ ก็คงได้โดนเอาไปหมดแน่ TT^TT)
เดี๋ยวหาข้อมูลมาได้เมื่อไหร่จะเอามา Reveiw ใน Blog ให้ดูนะคะ :))

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Thailand Open Memory Championships 2010

13 July 2010




วันเปื่อยๆ ของจิ๊บ -*- 8.00 - 16.15 น. อีกเช่นเคย .. ตื่นตั้งแต่ ตี4.50 น. แถมขากลับก็ถึงบ้าน 19.00 น. TT^TT ช่างเป็นวันที่น่าเหวี่ยง ง ง ~ อะไรเช่นนี้ นี่แหละ .. รสชาติของชีวิต เด็กมหาวิทยาลัย ^^"



3 July 2010 .. ไปช่วยอาจารย์คุมสอบความจำที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ..



วันนี้เป็นวันเสาร์ อาจจะแงะตัวให้ลุกออกจากเตียงยากซะหน่อย 55+ แต่ก็ไปถึงที่หมาย (อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ตรงเวลา 8.00 น. ก็ไปเจอเพื่อน นั่งคุยกันรออาจารย์มา (รู้สึกวันนั้นอาจารย์บอกว่ารถติดมาก) เสร็จสัพก็ประมาณ 9.00 น. อาจารย์ก็มา และพาเพื่อนๆทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อชี้แจงหน้าที่ที่ต้องทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำ คือ การตรวจข้อสอบ อยู่ในห้องกรรมการ - -* ช่วงเช้า .. น่าเบื่อนิดหน่อย เพราะ ข้อสอบยังมีไม่มาก จึงไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ สุดท้าย .. ก็ลงเอยด้วยการไปหาอะไรทานสักครู่ 55+ ไม่งั้นก็จะเริ่มง่วงนอนแน่ๆ

บรรยากาศในห้องตรวจข้อสอบ (เสื้อสีเหลือง สนับสนุนโดย .. นกแอร์ค่ะ :DD)


มื้อเที่ยง .. ทางมหาวิทยาลัยเลี้ยงเป็นบุฟเฟ่ต์ ขอบอกว่า ขนมจีนแกงเขียวหวานปลากราย กับ แกงจืดเยื่อไผ่ อร่อยมากกก ก !!!! ;DD พอตกบ่าย .. ก็ไม่ต้องสงสัย ~ ง่วงแน่นอน 55+ (ก็เล่นกินเข้าไปซะตั้งเยอะ แถมยังมีอาหารว่างเป็นแซนวิช และพุดดิ้งอีก OvO เปรม ม ~ กันเลยทีเดียว) แต่เนื่องจากช่วงบ่าย จะเริ่มมีข้อสอบเยอะมากขึ้น เพราะผู้สอบมีทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ รวมกัน และยังเป็นการทดสอบที่ต้องเขียนลงในกระดาษตอบคำถาม งานก็เลยเข้า ~ ต้องช่วยกันตรวจข้อสอบตลอดบ่าย จนเกือบถึง 5 โมงเย็นเลยทีเดียว


ภาพ My Map ที่ได้รับรางวัลต่างๆ


กิจกรรมสุดท้าย .. คือ ต้องเข้าไปช่วยอาจารย์สับไพ่ในห้องสอบ และช่วยนับคะแนนไพ่ที่เด็กเรียงถูกต้องด้วย เห็นน้องๆทำแล้ว ก็นึกสนุก !! อยากเล่นบ้าง คราวหน้าถ้ามีโอกาส จะลองสมัครมาแข่งขันโครงการนี้สักครั้งหนึ่ง เป็นประสบการณ์ให้ชีวิต และช่วยฝึกสมองไปในตัว :))

บรรยากาศในห้องสอบ .. น้องๆ จำไพ่กันใหญ่เลย xb

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Dead Poets Society

7 July 2010




เวลา 9.00 น. .. ขณะขับรถอยู่บนทางด่วน กำลังจะลงประตูน้ำ เพื่อนได้โทรมาบอกว่า "วันนี้ Child Personality ไม่มีเรียน" . . . -*- แทบอยากจะ u trun รถกลับเดี๋ยวนั้นเลย ง่วงมากก ก อุตส่าห์ตื่นมาเรียนทัน แต่หาทางกลับรถไม่เจอ 55+ ^^" ก็เลยไปหาเพื่อนที่คณะ เพราะเพื่อนทุกคนมากันครบหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆ เซ็งกันหมดเลย .. ไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยไปช่วยกันทำการบ้าน แต่สุดท้าย .. ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ^o^"




ย้อนกลับไป 2 July 2010 .. วันที่สี่ของการเรียน Innovative Thinking ..



วันนี้อาจารย์ฉายภาพยนต์เรื่อง "Dead Poets Society" ให้ดู แล้วให้ตอบคำถามให้อาจารย์ให้ในกระดาษไว้ อาจารย์บอกว่า เป็นหนังที่เก่ามากก ก แต่เป็นหนังที่สอนใจได้อย่างดีเลยทีเดียว อยากให้เราดูกัน จะได้นำข้อคิดไปใช้ แรกๆเปิดมาก็ยัง งงๆ อยู่ เรื่องอะไรหว่า? ไม่เคยดูเลย แต่ .. เด็กนักเรียนโรงเรียนนี้น่ารักดี 55+ ^^


Dead Poets Society เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ "Welton" ซึ่งมีกฏระเบียบ จารีตประเพณี และวิธีการสอนอย่างเคร่งครัดสืบต่อกันมา แต่ .. เนื่องจากการสอนของครู Keating ซึ่งเป็นครูหัวคิดสมัยใหม่ มีแนวการสอนที่ไม่เหมือนใคร ไม่ยึดตามตำรา สอนให้เด็กรู้จักมองโลก และใช้ชีวิตแตกต่างออกไป ตามแบบฉบับของตัวเอง จึงทำให้ผู้บริหารของโรงเรียนเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ความเป็นกันเองของครู Keating นี้เอง ที่ทำให้เหล่านักเรียนชื่นชอบในตัวเขา จนทำให้ Neil Perry และกลุ่มเพื่อน ร่วมกันก่อตั้ง "ชมรมกวีไร้ชีพ (Dead Poets Society)" ขึ้น ซึ่งเป็นชมรมเก่าของครู Keating สมัยที่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ จากนั้น Neil Perry ก็เริ่มทำตามความฝันของตัวเอง โดยได้เข้าร่วมแสดงละครเวทีซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ แต่กลับไม่ได้การยินยอมจากผู้เป็นพ่อ จนทำให้ Neil Perry ตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างคาดไม่ถึง T^T (คนแสดงน่ารักซะด้วย เสียใจๆ) เรื่องนี้จึงย้อนกลับมามีผลกระทบกับชมรม จนนำไปสู่การไล่ครู Keating ออก เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของโรงเรียนที่มีอย่างเคร่งครัด แม้ว่า .. ครู Keating จะออกไปแล้ว แต่เขา .. ก็ได้ปลูกฝังค่านิยมการคิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์ และการเป็นตัวของตัวเองไว้ให้กับนักเรียน ซึ่งทำให้นักเรียนเหล่านี้มีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป . .

แม้ว่า .. ตอนจบของเรื่องนี้จะเศร้าไปหน่อย (น้ำตาคลอเลยทีเดียว) แต่ก็สอนให้รู้ว่า .. ชีวิตของคนเราต้องพบเจอทั้งเรื่องทุกข์ และสุข .. ปะปนกันไป ไม่มีใครสุขสมหวังไปซะทุกเรื่อง แม้ในตอนจบครู Keating กับ นักเรียนเหล่านั้น จะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันต่อไป แต่สิ่งที่ครูของเขาได้สอนไว้ ก็จะเป็นใบเบิกทางให้กับนักเรียนทุกคนก้าวเดินต่อไป ในแนวทางของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข. .


อีกมุมหนึ่งที่อยากให้มองจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ การเป็นประชาธิปไตยในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวทุกคนควรได้รับสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น และเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบภายใต้ความถูกต้อง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พ่อแม่กับลูกควรหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่ควรใช้อำนาจบังคับขู่เข็นลูก ควรปล่อยให้ลูกเลือกทางเดินของตัวเอง และทำสิ่งๆต่างอย่างมีความสุข ในเช่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ Neil Perry ชอบที่จะแสดงละคร และตัวเขาเองก็พูดแล้วว่าจะไม่ทำให้เสียการเรียน จะจัดสรรแบ่งเวลาเอง หากพ่อของเขาอนุญาต .. โศกนาฎกรรมนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น . .




" Capedium .. seize the day ฉกฉวยวันเวลาไว้ ก่อนที่มันจะสาย :)) "

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

New Design : Mobile Phone

6 July 2010
ผ่านมา 1 เดือนแล้ว .. หลังจากเปิดเทอม ยอมรับว่าเหนื่อยมากก ต้องเรียนวิชา BioPsychology แบบพับคอร์ส -*- เรียนสัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 4 ชั่วโมง .. เหมือนเช่นในวันนี้ เรียนตั้งแต่ 8.00-16.00 น. ตอนเช้าเรียน BioPsychology ก็มี Quiz 3 บท ส่วนตอนบ่ายเรียนวิชา Leadership ก็ให้แสดงอะไรก็ได้ เพื่อดูเรื่องการทำงานเป็นทีม (กลุ่มเราเลือกเต้น) 2-3 วันก่อนหน้านี้ .. โอยย ย ซ้อมกันจนปวดขา เมื่อยทั้งตัวเลย >.<" พอทุกอย่างในวันนี้ผ่านไปได้ ก็รู้สึกเนือย ~ มาก TT^TT ไม่มีแรงจะทำการบ้านอย่างอื่นเลย .. เศร้า - -."
25 June 2010 .. วันที่สามของการเรียน Innovative Thinking ..
วันนี้อาจารย์ให้คิดประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือแบบใหม่ แบบที่ไม่มีใครคิดทำมาก่อน โดยให้จับกลุ่ม 6-7 คน แล้วช่วยกันคิด พร้อมวาดภาพประกอบด้วย ซึ่งสิ่งที่กลุ่มเราคิดออกมาได้ คือ โทรศัพท์ที่เป็นสร้อยคอ โดยตรงจี้ห้อยเป็นรูปพีระมิด ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นจอ Projector ฉายภาพออกมา และใช้งานด้วยคำสั่งเสียง นอกจากนี้ยังใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานแบตเตอรี่อีกด้วย สุดยอดมากกก !!! คิดออกมาแล้ว อยากจะมีไว้ใช้เองบ้าง แต่ถ้าประดิษฐ์ออกมาได้ ก็คงแพงหูฉีกน่าดูเลย *3*



นี่เป็นภาพงานที่ช่วยกันระดมสมองคิดกันภายในกลุ่ม :))
(อาจจะดูเละเทะนิดนึง ^^" ลายมือไม่สวย)

นอกจากนี้ .. อาจารย์ยังให้เขียนว่า "อิฐ สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง" จำนวน 30 ข้อ ซึ่งข้าพเจ้าเขียนได้แค่ 20 ข้อ แต่ยังมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่สามารถเขียนได้ครบ 30 ข้อ กิจกรรมนี้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า การคิดนอกกรอบ .. ทำให้เราประยุกต์ใช้สิ่งต่างๆ ในหลายๆ มุมมองได้ ทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆมาใช้ในชีวิตประจำวัน ใครจะไปนึกว่า .. "อิฐ" จะเอาไว้เพาะเห็ด .. เลี้ยงมอส .. และ ถ่วงเป็นลูกลอยในชักโครกได้ เพิ่งจะมาได้ยินก็จากเพื่อนๆในวิชานี้นี่แหละ เป็นนักคิดสร้างสรรค์ตัวยงกันจริงๆ ^__^

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

My Personality

1 July 2010



อัพบล็อคครั้งที่ 2 .. ชักจะสนุกแล้วสิ ^v^



วันนี้รู้สึกเหนื่อยมาก T^T เรียนทั้งวัน .. ตั้งแต่ 8.00-16.00 น. ตอนเช้าวิชา BioPsychology อาจารย์ไม่ให้พักเลย แง้ ~ แล้วก็ Quiz ท้ายคาบถึง 12.15 น. จากนั้นต้องรีบกลับไปเรียนที่คณะตัวเอง ซึ่ง .. รถป๊อปคนเป็นแสน -*- ก็เลยถึงคณะตอน 13.00 น. พอดี ไม่รอช้า .. รีบไปทานข้าว เพราะ อาจารย์ให้เข้าช้าได้ไม่เกิน 13.30 น. ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามาเรียนสาย เช็คขาด! OMG .. - -" ผลที่ออกมาในตอนบ่าย .. นั่งมึนๆ งงๆ สัพพงกเรียนไป (_ _")



18 June 2010 .. เป็นวันที่สองของการเรียนวิชานี้ ..



สืบเนื่องจากวันแรก .. ยังไม่กล้ายกมือตอบคำถาม 55+ วันนี้เลยสัญญากับตัวเองว่า "วันนี้ฉันต้องยกมือตอบคำถามให้ได้!" ก็ถือเป็นความโชดดี (บนความสับสน งงงวย) ที่ได้นั่งหน้าสุดของห้อง เลยยกมือตอบคำถามได้สะดวก แต่! . . แต่.. แต่.. เป็นเพราะเนื่องจากอาจารย์เปลี่ยนห้องเรียนจากห้อง 408 เป็นห้อง 404 ซึ่ง ... กว่าจะหาห้องเจอ ก็เลย .. ได้นั่งหน้าเลย 55+ แต่ก็ดีแล้ว ยกมือตอบคำถามแล้วไม่รู้สึกเขินเลย >//< สงสัยเพราะมองไม่เห็นหน้าใคร ฮ่าๆ วันนี้อาจารย์ให้ค้นหา Personality ของตัวเอง โดยใช้การ์ด 5 ใบ ขั้นแรก .. ให้เลือกการ์ดที่มีข้อความที่ไม่ตรงกับบุคลิกของเรามากที่สุดออกมา แล้วนำไปแลกกับเพื่อนคนอื่นๆ (ถ้าเขายอมแลก ก็ให้สลับกันได้เลย) แต่ถ้าไม่สามารถแลกกับใครได้ ขั้นที่สอง ให้เลือกการ์ด 2-3 ใบที่ไม่ใช่บุคลิกภาพของตัวเอง แล้วนำไปแลกกับไพ่ในกอง โดยเลือกให้เป็นตัวเองมากที่สุด ผลที่ได้ .. จึงออกมาเป็นเช่นนี้ ..


ดอกจิก 1 ใบ : เน้นการกระทำเป็นหลัก

ข้าวหลามตัด 1 ใบ : มีความคิดสร้างสรรค์

โพแดง 3 ใบ : สนับสนุน ให้กำลังใจผู้อื่น, ชอบสนิทสนม ใกล้ชิดกับผู้อื่น, ชอบดูแล รักษาสิ่งต่างๆ

*ค่อนข้างตรงทีเดียว ดูเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพระหว่างผู้อื่นเป็นอย่างมาก*

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ .. อาจารย์ทำให้เราเห็นภาพลักษณ์ของตัวเองชัดเจนขึ้น การ์ดบางใบ อาจใช่ หรือไม่ใช่ตัวของเรา ซึ่งเราก็ต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเราให้เจอ คนที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนอย่างไร ถือว่าอันตรายมาก .. เพราะ เขาจะไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของตนคืออะไร และในภายภาคหน้าจะเลือกดำเนินชีวิตต่อไปเช่นไรให้ถูกทาง ตรงกับความถนัดและความชอบของตัวเอง แล้วคุณหล่ะ .. หาตัวเองเจอหรือยัง??