วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Dead Poets Society

7 July 2010




เวลา 9.00 น. .. ขณะขับรถอยู่บนทางด่วน กำลังจะลงประตูน้ำ เพื่อนได้โทรมาบอกว่า "วันนี้ Child Personality ไม่มีเรียน" . . . -*- แทบอยากจะ u trun รถกลับเดี๋ยวนั้นเลย ง่วงมากก ก อุตส่าห์ตื่นมาเรียนทัน แต่หาทางกลับรถไม่เจอ 55+ ^^" ก็เลยไปหาเพื่อนที่คณะ เพราะเพื่อนทุกคนมากันครบหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆ เซ็งกันหมดเลย .. ไหนๆก็มาแล้ว ก็เลยไปช่วยกันทำการบ้าน แต่สุดท้าย .. ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ^o^"




ย้อนกลับไป 2 July 2010 .. วันที่สี่ของการเรียน Innovative Thinking ..



วันนี้อาจารย์ฉายภาพยนต์เรื่อง "Dead Poets Society" ให้ดู แล้วให้ตอบคำถามให้อาจารย์ให้ในกระดาษไว้ อาจารย์บอกว่า เป็นหนังที่เก่ามากก ก แต่เป็นหนังที่สอนใจได้อย่างดีเลยทีเดียว อยากให้เราดูกัน จะได้นำข้อคิดไปใช้ แรกๆเปิดมาก็ยัง งงๆ อยู่ เรื่องอะไรหว่า? ไม่เคยดูเลย แต่ .. เด็กนักเรียนโรงเรียนนี้น่ารักดี 55+ ^^


Dead Poets Society เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ "Welton" ซึ่งมีกฏระเบียบ จารีตประเพณี และวิธีการสอนอย่างเคร่งครัดสืบต่อกันมา แต่ .. เนื่องจากการสอนของครู Keating ซึ่งเป็นครูหัวคิดสมัยใหม่ มีแนวการสอนที่ไม่เหมือนใคร ไม่ยึดตามตำรา สอนให้เด็กรู้จักมองโลก และใช้ชีวิตแตกต่างออกไป ตามแบบฉบับของตัวเอง จึงทำให้ผู้บริหารของโรงเรียนเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ความเป็นกันเองของครู Keating นี้เอง ที่ทำให้เหล่านักเรียนชื่นชอบในตัวเขา จนทำให้ Neil Perry และกลุ่มเพื่อน ร่วมกันก่อตั้ง "ชมรมกวีไร้ชีพ (Dead Poets Society)" ขึ้น ซึ่งเป็นชมรมเก่าของครู Keating สมัยที่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ จากนั้น Neil Perry ก็เริ่มทำตามความฝันของตัวเอง โดยได้เข้าร่วมแสดงละครเวทีซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ แต่กลับไม่ได้การยินยอมจากผู้เป็นพ่อ จนทำให้ Neil Perry ตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างคาดไม่ถึง T^T (คนแสดงน่ารักซะด้วย เสียใจๆ) เรื่องนี้จึงย้อนกลับมามีผลกระทบกับชมรม จนนำไปสู่การไล่ครู Keating ออก เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของโรงเรียนที่มีอย่างเคร่งครัด แม้ว่า .. ครู Keating จะออกไปแล้ว แต่เขา .. ก็ได้ปลูกฝังค่านิยมการคิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์ และการเป็นตัวของตัวเองไว้ให้กับนักเรียน ซึ่งทำให้นักเรียนเหล่านี้มีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป . .

แม้ว่า .. ตอนจบของเรื่องนี้จะเศร้าไปหน่อย (น้ำตาคลอเลยทีเดียว) แต่ก็สอนให้รู้ว่า .. ชีวิตของคนเราต้องพบเจอทั้งเรื่องทุกข์ และสุข .. ปะปนกันไป ไม่มีใครสุขสมหวังไปซะทุกเรื่อง แม้ในตอนจบครู Keating กับ นักเรียนเหล่านั้น จะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันต่อไป แต่สิ่งที่ครูของเขาได้สอนไว้ ก็จะเป็นใบเบิกทางให้กับนักเรียนทุกคนก้าวเดินต่อไป ในแนวทางของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข. .


อีกมุมหนึ่งที่อยากให้มองจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ การเป็นประชาธิปไตยในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวทุกคนควรได้รับสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น และเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบภายใต้ความถูกต้อง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พ่อแม่กับลูกควรหันหน้ามาพูดคุยกัน ไม่ควรใช้อำนาจบังคับขู่เข็นลูก ควรปล่อยให้ลูกเลือกทางเดินของตัวเอง และทำสิ่งๆต่างอย่างมีความสุข ในเช่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ Neil Perry ชอบที่จะแสดงละคร และตัวเขาเองก็พูดแล้วว่าจะไม่ทำให้เสียการเรียน จะจัดสรรแบ่งเวลาเอง หากพ่อของเขาอนุญาต .. โศกนาฎกรรมนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น . .




" Capedium .. seize the day ฉกฉวยวันเวลาไว้ ก่อนที่มันจะสาย :)) "

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น